วันอาทิตย์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2556

สิ่งที่ต้องรู้สำหรับการซื้อขาย

เช็คราคาการจัดส่งสินค้า
Thailandpost

ตรวจสอบสถานะการจัดส่ง
Thailandpost

ว่างๆๆ จะมา Update ของที่อื่นๆ ให้นะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2556

NIKON 1 J3

NIKON 1 J3



ภาพรวม
ด้วยฟังก์ชั่นที่ล้ำสมัยและประสิทธิภาพการทำงานที่น่าทึ่งของ Nikon 1 J3 โฉมใหม่ คุณก็พร้อมแล้วกับการสร้างสรรค์ช่วงเวลาแห่งการถ่ายภาพของคุณเองได้แบบง่ายๆ การทำงานที่รวดเร็วฉับไวและดีไซน์ที่เน้นความเรียบง่ายผสานเข้ากันเป็นความสมดุลที่สมบูรณ์แบบ Nikon 1 J3 ช่วยให้คุณสามารถถ่ายภาพได้ชัดและลงลึกในรายละเอียดได้อย่างเหลือเชื่อ โดยนำเสนอความละเอียด 14.2 ล้านพิกเซลและโฟกัสอัตโนมัติความเร็วสูง



ประสิทธิภาพการทำงานที่มาบรรจบกับดีไซน์พิถีพิถัน
ประสิทธิภาพการทำงานไร้ที่ติและคุณสมบัติที่หลากหลายของ J3 ประกอบรวมเข้ากันอย่างสวยงามในตัวกล้องชนิดสับเปลี่ยนเลนส์ได้ที่มีขนาดเล็ก และเบาอย่างเหลือเชื่อ จอ LCD ความละเอียด 921,000 จุดติดตั้งอยู่ในตัวกล้องโลหะที่ประดิษฐ์ขึ้นอย่างพิถีพิถัน และมาพร้อมกับมุมมองการมองเห็นที่กว้างขวาง



เร็วยิ่งกว่าช่วงเวลาพริบตาเดียว
J3 ให้คุณมั่นใจได้เลยว่าคุณจะไม่พลาดช็อตสำคัญด้วยประสิทธิภาพการทำงานและ โฟกัสอัตโนมัติที่รวดเร็วของกล้อง J3 โดดเด่นด้วยระยะเวลาหน่วงชัตเตอร์สั้น (เพียง 80 มิลลิวินาทีในโหมดโฟกัสอัตโนมัติจุดเดียว) และ 15 ภาพต่อวินาทีในการถ่ายภาพต่อเนื่อง ¡V ซึ่งเป็นความเร็วสูงสุด1ภายในกลุ่มของกล้องที่ใช้เลนส์ชนิดสับเปลี่ยนได้



ถ่ายช็อตที่สมบูรณ์แบบได้ตลอดทุกครั้ง
การเก็บภาพช่วงเวลาสำคัญจะทำได้ง่ายกว่าที่เคย ระบบเลือกภาพถ่ายอัจฉริยะที่ดียิ่งขึ้นสามารถจับภาพได้สูงสุด 20 เฟรมก่อนและหลังจากคุณกดปุ่มกดชัตเตอร์ แล้วแสดงช็อตที่สมบูรณ์แบบหนึ่งช็อต หรือช็อตที่ดีที่สุด 5 อันดับแรก หรือใช้คุณสมบัติมุมมองแบบช้าโฉมใหม่ของกล้องในการบันทึกวิดีโอสโลว์โมชัน แบบ 20 ภาพ เพื่อเลือกช็อตที่เหมาะสมที่สุด นอกจากนี้ คุณยังสามารถเปลี่ยนภาพจากการบันทึกวิดีโอให้กลายเป็นภาพถ่ายความละเอียดสูง ได้อีกด้วย



คุณภาพที่ไม่เป็นรองใคร
แม้แต่ช่างภาพผู้รอบรู้มากที่สุดก็ยังต้องปลาบปลื้มกับคุณภาพของภาพจาก J3 กล้อง J3 นำเสนอออโต้โฟกัสความเร็วสูงและระบบลดสัญญาณรบกวนที่เหนือชั้น ซึ่งเสริมประสิทธิภาพด้วยเซ็นเซอร์ CMOS รูปแบบ CX ความละเอียด 14.2 ล้านพิกเซลโฉมใหม่และระบบ EXPEED 3A นอกจากนี้ ยังมีตัวเลือกการถ่ายภาพใต้น้ำ และการควบคุมความผิดเพี้ยนอัตโนมัติที่ช่วยลดความผิดเพี้ยนของเลนส์



รังสรรค์ช่วงเวลาสำคัญในสไตล์ของคุณเอง
การ เพิ่มรูปแบบสไตล์ที่เป็นตัวคุณสามารถทำได้ง่ายดายด้วยหลากหลายตัวเลือกที่ สร้างสรรค์ เลือกเอ็ฟเฟ็กต์โหมดสร้างสรรค์ได้จาก 8 เอ็ฟเฟ็กต์ ได้แก่ ทิวทัศน์กลางคืน, ภาพย้อนแสง, โฟกัสแบบนุ่มนวล, เอ็ฟเฟ็กต์ภาพวัตถุขนาดจิ๋ว, ภาพพาโนรามาแบบง่ายๆ และเอ็ฟเฟ็กต์เพิ่มเติมอื่นๆ


ควบคุมได้โดยไม่ต้องวุ่นวาย
ด้วยแป้นหมุนเลือกโหมดซึ่งอยู่ในตำแหน่งที่ใช้งานได้สะดวก คุณก็จะสามารถปรับค่าต่างๆ ได้ง่ายเพียงปลายนิ้ว ในโหมดอัตโนมัติ ระบบควบคุมภาพแบบสดจะช่วยให้คุณสามารถปรับแต่งการตั้งค่าของภาพได้โดยใช้ เมนูคุณสมบัติกล้องที่ใช้งานง่าย J3 ยังมีแฟลช i-TTL ในตัวกล้องที่จะเปิดขึ้นทุกครั้งที่คุณจำเป็นต้องใช้แสงช่วยเล็กน้อยในการ ถ่ายภาพ



บอกเล่าเรื่องราวอย่างน่าประทับใจ
หากภาพหนึ่งภาพแทนคำนับพัน ลองคิดดูว่าคุณจะถ่ายทอดเรื่องราวได้มากเพียงใดเมื่อใช้ภาพนิ่งเคลื่อนไหว ที่ปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น กดปุ่มกดชัตเตอร์เพื่อถ่ายภาพนิ่งและวิดีโอแบบสโลว์โมชันทั้งก่อนและหลัง ชั่วขณะการถ่ายภาพ คุณยังสามารถเพิ่มดนตรีประกอบและบันทึกวิดีโอในรูปแบบภาพยนตร์อื่นๆ เพื่อสร้างสรรค์ผลงานที่ไม่ซ้ำใครได้อีกด้วย และด้วยระบบลดภาพสั่นไหวแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-VR) ที่รวมอยู่ในกล้อง J3 ภาพทุกภาพก็จะมีโฟกัสที่คมชัดเสมอ

โลกที่คุณเลือกได้
กล้อง J3 มาพร้อมกับเลนส์ 1 NIKKOR หลากหลายรูปแบบให้คุณเลือกรวมทั้งเคสกันน้ำ คุณจึงใช้งานได้แบบไร้ขีดจำกัดอย่างแท้จริง อะแดปเตอร์ไร้สายแบบพกพา WU-1b ที่เป็นอุปกรณ์เสริมช่วยให้คุณโอนย้ายรูปถ่ายไปที่อุปกรณ์อัจฉริยะของคุณได้ ผ่านระบบไร้สายเพื่อให้ง่ายต่อการแบ่งปัน นอกจากนี้ คุณยังสามารถใช้เลนส์ NIKKOR ได้ทุกรุ่นโดยใช้อะแดปเตอร์ F เมาท์



ที่มาจาก NIKON

NIKON 1 V2

วันนี้เอาใจช่างภาพ เพราะการทำอาชีพต่างๆ ในปัจจุบันอะไรเป็นเงินเป็นทองได้หมดครับ อย่างการไปเที่ยวหากถ่ายรูปมาสวยก็ขายได้ อยากขายสินค้าต่างๆ ถ่ายรูปสินค้าสวยๆๆ ก็ขายได้ เช่น ถ่ายไปขายใน Pantipmarket / Ebay หรือที่อื่นๆ เพราะให้ทุกคนที่คิดว่าจะมีอาชีพได้มีประสบการณ์ในการเลือกถ่ายภาพ ไม่ว่ากันนะครับที่จะแนะนำ NIKON 1 รุ่นใหม่ V2 แต่ไม่เคยใช้งานหลอกนะแต่ใช้ V1 ยังไม่มีตังซื้อ เริ่มกันเลยยยยยยย

เปิดตัว Nikon 1 V2 เร็วอย่างน่าอัศจรรย์ แม่นยำอย่างเป็นปรากฏการณ์ 
10 ก.ค. 56 14.54 น.
PHOTO FAIR 2013 สุดยอดงานแสดงอุปกรณ์การถ่ายภาพทุก…
กะทัดรัดเหลือเชื่อ ผลสะท้อนเหลือหลาย
Nikon 1 V2 ดำเนินรอยตามปรัชญาความเรียบง่ายในการออกแบบตามแบบฉบับของ Nikon 1 จึงไม่น่าแปลกใจที่กล้อง Nikon 1 V2 ใหม่นี้ ออกมาโดดเด่น เล็กกะทัดรัด และบางเบาง่ายต่อการพกพาและใช้งาน
แสงแฟลชสู่แรงบันดาลใจ
Nikon 1 V2 มาพร้อมด้วยแฟลช i-TTL ในตัวสามารถตรวจจับค่าแสงที่ต้องใช้ได้อย่างแม่นยำ ให้คุณถ่ายภาพได้อย่างไร้ที่ติ ภาพแล้วภาพเล่า
ระบบแป้นคำสั่งคู่ - ควบคุมอย่างง่ายดาย
Nikon 1 V2 ผสานการควบคุมภาพถ่ายอย่างยอดเยี่ยมกับการใช้งานที่แสนง่าย ด้วยแป้นเลือกแบบภาพ (Mode Dial) และแป้นคำสั่ง (Command Dial) ในตำแหน่งที่เหมาะมือ คุณจึงสามารถปรับการถ่ายภาพได้อย่างแม่นยำโดยมิต้องพลาดสายตาจากเป้าหมาย
เหมาะมือในทุกสถานการณ์
แม้ขนาดจะเล็ก Nikon 1 V2 ก็มาพร้อมกริปขนาดเหมาะมือที่คุณสามารถจับถือกล้องได้อย่างมั่นใจและแน่นอน ภาพที่ถ่ายออกมาจึงสมบูรณ์แบบ
ดูภาพเต็มขนาดด้วย Electronic Viewfinder
Electronic Viewfinder ความคมชัดสูงของ Nikon 1 V2 เป็นประโยชน์ต่อการใช้งานในสภาวะที่สว่างเกินไปสำหรับหน้าจอแบบ LCD ด้วยภาพเต็มขนาด 100% และการแสดงผลได้อย่างรวดเร็ว คุณจึงมั่นใจว่าสามารถจัดองค์ประกอบภาพได้อย่างสมบูรณ์
ด้วยระบบ Slow View คุณจะเห็นว่านิ้วมือทำงานได้เร็วกว่าสายตา
เมื่อคุณต้องการถ่ายภาพที่น่าหวาดเสียว เคลื่อนไหวเร็ว หรือภาพแอคชั่น เพียงกดชัตเตอร์ครึ่งทางแล้ว Nikon 1 V2 ก็จะถ่าย 40 ภาพภายในชั่วพริบตา คุณจึงสามารถเลือกภาพประทับใจที่สุดได้
ถ่ายภาพยอดเยี่ยมด้วย ตัวเลือกภาพถ่ายอัจฉริยะ
คุณจะไม่มีวันพลาดโอกาสแห่งความทรงจำเพียงเพราะคนหนึ่งกระ พริบตาหรือก้าวหลุดจากโฟกัส ด้วยฟังก์ชั่นตัวเลือกภาพถ่ายอัจฉริยะ Smart Photo Selector Nikon 1 V2 จะบันทึก 20 ภาพก่อนและหลังการกดชัตเตอร์ คุณจึงสามารถเลือกภาพถ่ายที่ดีที่สุดห้าภาพ หรือเพียงหนึ่งเดียวที่บันทึกอารมณ์แห่งช่วงเวลาได้อย่างสมบูรณ์แบบ
บันทึกความทรงจำที่ยาวนานด้วย Enhanced Motion Snapshot
เมื่อใช้ระบบ Enhanced Motion Snapshotคุณสามารถบันทึกวิดีโอช้าสั้นๆ เพื่อให้เข้ากับภาพถ่าย ซึ่งเป็นวิธีเพิ่มอารมณ์แก่ช่วงเวลาที่ยากจะลืมเลือนได้อย่างยอดเยี่ยม เก็บช่วงเวลาเหล่านี้ไว้ตราบนานในรูปแบบไฟล์วิดีโอ NMS หรือ MOV นอกจากนี้ คุณยังสามารถเพิ่มเสียงประกอบและสร้างเทคนิคพิเศษด้วยภาพนิ่งเคลื่อนไหว หลายๆผลงาน

ดูภาพทดสอบถ่ายได้ที่นี่คลิกซิค่ะ


NIKON 1

วันนี้เอาใจช่างภาพ เพราะการทำอาชีพต่างๆ ในปัจจุบันอะไรเป็นเงินเป็นทองได้หมดครับ อย่างการไปเที่ยวหากถ่ายรูปมาสวยก็ขายได้ อยากขายสินค้าต่างๆ ถ่ายรูปสินค้าสวยๆๆ ก็ขายได้ เช่น ถ่ายไปขายใน Pantipmarket / Ebay หรือที่อื่นๆ เพราะให้ทุกคนที่คิดว่าจะมีอาชีพได้มีประสบการณ์ในการเลือกถ่ายภาพ ไม่ว่ากันนะครับที่จะแนะนำ NIKON 1 เพราะใช้เป็นอยู่ยีห้อเดียวและรุ่นเดียว นอกนั้นก็ถ่ายมือถือ เริ่มกันเลยยยยยยย

กล้องถ่ายภาพโดยทั่วไป ในหนึ่งวินาทีคุณคิดว่าจะถ่ายภาพได้กี่รูป 5 รูป 10 รูป แค่นี้ก็ถือว่ายอดเยี่ยมแล้ว แต่เมื่อได้เห็นคุณสมบัติของกล้อง Nikon 1 ความคิดนี้จะถูกเปลี่ยนไป เพราะ Nikon 1 สามารถถ่ายภาพได้เร็วถึง 60 ภาพต่อวินาที และสิ่งที่คุณจะได้รับ คือ คุณจะได้ภาพที่คุณอาจคิดไม่ถึงว่าจะได้เห็น และแค่คิดเห็นๆ เราเอาภาพมาวางเรียงกัน ก็จะได้ภาพแบบ Storyboard เหมือนการฉายหนังทีละฉากเลยทีเดียว

Nikon 1 ประกอบด้วย Nikon 1 V1 และ Nikon 1 J1

เนื่องจาอ Nikon 1 มีการแบ่งออกเป็น สองรุ่น คือ Nkon 1 V1 และ Nikon 1 J1 เท่าที่สำรวจก็พบว่า Nikon V1 มีคุณสมบัติที่สูงกว่า Nikon 1 J1 หลายอย่าง ดังนั้น

ในบทความนี้ จะมาแนะนำ Nikon 1 V1 ให้ดูกันน่ะครับ คุณสมบัติของ Nikon 1 V1 ความละเอียด 10.1 ล้านพิกเซล ขนาดของเซ็นเซอร์ 13.2 x 8.8 มม. ISO 100 ถึง 3200 สูงุสดได้ 6400 หน้าจอ LCD 3.0 มีระบบทำความสะอาด sensor อัตโนมัติ มีช่องมองภาพก่อนถ่าย (แต่รุ่น Nikon 1 J1 ไม่มี) มีระบบ GSP (แต่รุ่น Nikon 1 J1 ไม่มี) ถ่ายภาพได้ถึง 400 ภาพ ต่อชุดแบตเตอรี่ (แต่รุ่น Nikon 1 J1 ถ่ายได้ 230 ภาพ) ถ่ายวีดีโอได้ละเอียดถึง 1920x1080 นำหนัก 383 กรัม (รุ่น Nikon 1 J1 น้ำหนักเพียง 277 กรัม) สัดส่วน 133 x 76 x 43.5 มม.? (รุ่น Nikon 1 J1 สัดส่วน 106 x 61 x 29.8 มม.) กล้องดิจิตอล Nikon 1 เป็นกล้องที่สามารถเปลี่ยนเลนส์ได้ด้วยน่ะครับ

อุปกรณ์เสริมมีให้เลือกมากมาย

 
 

ควรตรวจสอบ firmware ให้ใหม่อยู่เสมอนะครับ


Nikon 1 V1 firmware update 1.30

Nikon 1 J2 firmware update 1.10
Nikon 1 J3 firmware update 1.10
Nikon 1 S1 firmware update 1.10
Nikon Mount Adapter FT1 L firmware update 1.10
 


ตอนนี้ราคาปรับลดลงก็ยิ่งน่าซื้อ และควรตรวจสอบเป็นระยะหากสนใจจะซื้อของใหม่หากงบน้อยก็ซื้อของมือสองก็ใช้ได้ครับ

รายละเอียดครับ
Nikon1 J1 + 10-30mm f/3.5-5.6 ราคาพิเศษ 12 400 บาท
Nikon1 J1 + 10mm f/2.8 ราคาพิเศษ 13 400 บาท
Nikon1 J1 + 10mm f/2.8 + 10-30mm f/3.5-5.6 ราคาพิเศษ 16 400 บาท
Nikon1 J1 + 10-30mm f/3.5-5.6 + 30-110mm f/3.8-5.6 ราคาพิเศษ 17 400 บาท

Nikon1 V1 + 10-30mm f/3.5-5.6 ราคา 14 400 บาท
- Nikon1 V1 + 10mm f/2.8 ราคา 15 400 บาท
- Nikon1 V1 + 10mm f/2.8 + 10-30mm f/3.5-5.6 ราคา 18 400 บาท
- Nikon1 V1 + 10-30mm f/3.5-5.6 + 30-110mm f/3.8-5.6 ราคา 19 400 บาท


ดูผู้ชำนาญการเขาทดสอบให้ดูครับ





วันพุธที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2556

ความหมายของมงคล 44 ชนิด (ความเชื่อของชาวจีน)

ความหมายของมงคล 44 ชนิด ( ความเชื่อของชาวจีน )

1. พระยิ้ม
สัญลักษณ์ของความรวย ความสุข และความอุดมสมบูรณ์ เป็นพระอ้วนกลมยิ้มแย้ม พุงพลุ้ย มีลักษณะท่าทางหลายแบบ แต่ละท่าล้วนแล้วแต่มีของมงคลที่สื่อถึงความมั่งมี ศรีสุข ประกอบอยู่ด้วย เชื่อว่า ผู้ใดบูชาพระยิ้ม จะได้รับมงคลที่มุ่งถึงความอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพย์ศฤงคาร และความสุข เพราะท่านเป็นพระที่ร่ำรวย บางท่านมีความเชื่อว่า ให้อธิษฐานลูบท้องพระวันละครั้งจะทำให้เกิดโชคดี สมปรารถนา และมีลูกหลานเป็นบัณฑิต

2. ฮก ลก ซิ่ว ลาภ รวย อายุ
ฮก แปลว่า โชคลาภ ความสุขที่เกิดจากการได้สมหวังดังใจ เทพฮก เป็นชายโหงวเฮ้งดี มีสง่าราศี แต่งกายภูมิฐาน มือหนึ่งประคองคทายู่อี่ ยอดทำด้วยหยก (คทาสมปรารถนา) เป็นของวิเศษ ใครอธิษฐานสิ่งใดก็ให้สมปรารถนา หรือได้โชคลาภตามคำขอ

ลก แปลว่า รวย หรือความมั่งคั่ง
เทพลก เป็นอัครอภิมหาเศรษฐีผู้มั่งคั่ง มือหนึ่งถือบัญชีทรัพย์สินรายชื่อลูกหนี้ม้วนใหญ่ เพราะร่ำรวยล้นฟ้ามีสมบัติมหาศาล จึงมีลูกหนี้มากมาย อีกมืออุ้มลูกชาย ในมือลูกชายถือเงินทอง และอาจมีลูกสาวตัวน้อยเกาะขาอยู่ ในอ้อมแขนลูกสาวมีเครื่องประดับ ดอกไม้ ขนม แสดงถึงความมีกินมีใช้ ตามความเชื่อโบราณ ลก ที่สมบูรณ์จะต้องมีลูกชาย เพราะคนจีนถือเรื่องสืบต่อวงศ์ตระกูล ถ้ารวยอย่างเดียวโดยไม่มีลูกชายสืบสกุล ก็ไร้ประโยชน์

ซิ่ว แปลว่า อายุยืน
เทพซิ่ว เป็นชายแก่ศรีษะล้าน หน้าผากนูน เคราสีขาวยาว มือหนึ่งถือผลท้อ ซึ่งเป็นผลไม้สวรรค์ ใครได้ทานจะมีอายุยืนยาว อีกมือถือไม้เท้าหัวมังกรสัตว์ในตำนานที่มีอายุยืนถึงหมื่นปี ที่คอไม้เท้าห้อยน้ำเต้า ภายในน้ำเต้าบรรจุยาอายุวัฒนะ เหนือน้ำเต้ามี "เซียนจือ" ผูกติดอยู่ เซียนจือคือตำรายาเทวดา หรือตำรายาอายุวัฒนะ ซิ่ว มีนกกระเรียนเป็นสัตว์เทพพาหนะ ฮก ลก ซิ่ว มีฮกเป็นหัวหน้า ส่วนลก และซิ่ว เป็นบริวาร ถือว่าต้องมีลก กับซิ่วจึงจะมีฮก นั่นคือต้องมีอายุมั่นขวัญยืน และมั่งมี จึงจะศรีสุขได้ การตั้งฮก ลก ซิ่วที่ถูกหลัก ต้องตั้งฮกไว้ตรงกลาง

3.กวนอู เทพเจ้าแห่งความซื่อสัตย์ กตัญญู เป็นที่ยำเกรงของภูตผีปีศาจ กวนอู เดิมชื่อ หนเตี๋ยง ชาวเมืองฮอตั่งไก่ สูง ๖ ศอก ปากแดง หน้าแดง คิ้วตัวไหม ดวงตาการเวก มีง้าวเป็นอาวุธ เป็นคนดีมีคุณธรรม ซื่อสัตย์ กตัญญูรู้คุณคน เล่ากันว่า ผู้ใดคิดไม่ซื่อหวังทุจริต เมื่อได้พบเห็น หรือสบตากับเทพกวนอู จะเกิดความละอายใจ ไม่กล้าคิดคด จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีบริวารอยู่ใต้ปกครอง ควรบูชาไว้เพื่อเป็นสิริมงคล

4. ไชซิ้งเอี้ย
เทพเจ้าแห่งโชคลาภ หรือเทพเจ้าเงินตรา เป็นที่นิยมนับถือของผู้ประกอบการค้าชาวจีนมาช้านาน เนื่องจากมีอานุภาพในด้านการอำนวยโชค ลาภ ความมั่งคั่ง ร่ำรวย มั่นคง ให้แก่ผู้บูชา ไชซิ้งเอี้ย เป็นเทพเจ้าใส่หน้ากากงิ้ว ถ้าปั้นเป็นเทพ ๒ องค์ คือปั้นแบบครบชุดจะมีบู๊ และบุ๋น องค์บู๊จะหน้าดุ บางครั้งประทับบนหลังเสือ หรือเหยียบเสืออยู่ ที่หัตถ์ถือกระบอง ส่วนองค์บุ๋นหน้าตาดี มีหนวด เชื่อกันว่า องค์บู๊ ให้คุณเรื่องหนี้สินด้วย คือช่วยทวงหนี้ให้ผู้บูชา ลูกหนี้ไม่กล้าเบี้ยว

5. จี้กงอ๊วกฮุด
อรหันต์ที่ชอบประทานความช่วยเหลือ เป็นพระที่มีชีวิตชีวา หน้าตาขี้เล่นเบิกบาน ไม่ถือศีลกินเจ แต่ชอบร่ำสุรา รูปของท่านจึงมักมีจอกสุรา อยู่ด้วย และมือหนึ่งจะถือพัดอั้งโล้ว ที่ใช้พัดเตาไฟทำด้วยใบลาน บางทีก็หิ้วรองเท้าข้างหนึ่ง แล้วใส่อยู่ข้างหนึ่ง เล่ากันว่า ท่านชอบช่วยเหลือคนที่มีความสามารถ ในรูปแบบแปลกๆที่คาดไม่ถึง

6. จงขุย หรือเจ็งคุ้ย
เทพปราบมาร เป็นเทพแห่งปีศาจทั้งปวง ตำนานเล่าว่า เป็นผู้ขจัดภูตผีปีศาจที่พระเจ้าถังเสวียนฝันถึง และให้อู๋เต๋าจือ จิตรกรวาดภาพตามคำ บอกในฝัน ที่มาบอกถึงพระเจ้าถังเกาจง (พระราชบิดาของพระเจ้าถังเสวียน) ได้เมตตาประทานชุดสีน้ำเงิน และจัดงานศพของตน ที่ตกบันไดตาย เนื่องจากเสียใจสอบจอหงวนไม่ได้ จึงตั้งใจจะขจัดภูตผีปีศาจและสิ่งเลวร้ายให้ ดังนั้นในวันที่ ๕ ของเดือน ๕ เป็นวันปล่อยผี (ตวนอู่เจี่ย) จึงพากันแขวนเทพจงขุยไว้ที่ผนังบ้าน เชื่อกันว่า ใครที่กลัวจะถูกทำของใส่ หรือถูกคุณไสยเล่นเอา ต้องมีจงขุยคุ้มครองอยู่ในบ้าน หรือกรณีที่ต้องเข้าโรงพยาบาล หรือคนป่วยไปพักฟื้นที่ไหน สถานที่เหล่านั้นถือว่า มันสกปรก คือมีคนตายมาก ต้องมีผีอยู่ ให้เอาเทพปราบมารองค์นี้ไปด้วย แล้วจะปลอดภัยหายเป็นปกติกลับบ้านได้

7. หยิน-หยาง (ไท้เก๊กโต๊ว)
เป็นสัญลักษณ์วงกลมครึ่งขาวครึ่งดำ ในดำมีจุดขาว ในขาวมีจุดดำ เหมือนตาปลา ทำให้ดูเป็น
ปลาขาวดำสองตัวกลับหัวกัน ความหมายให้สีดำเป็น หยิน - ผู้หญิง ความมืดดำ โลก ดวงจันทร์ ความอ่อนแอ (สวยงาม) และความสันโดษ สีขาวเป็นหยาง - ผู้ชาย ความขาวสว่าง ท้องฟ้า (สวรรค์) ดวงอาทิตย์ ความเข้มแข็ง (พละกำลัง) และความเป็นคู่หยินหยางนี้เป็นสัญลักษณ์ของชีวิตที่มีสองด้านเสมอ จึงถูกนำมาใช้เพื่อเป็นพลังมงคลในการเสริม และปรับฮวงจุ้ยได้อย่างดี

8. น้ำเต้า (หลู หรือ หู)
เป็นสัญลักษณ์ของหมอเทพหรือหมอยา ชาวจีนมักใช้แขวนในห้องเด็ก หรือผู้สูงอายุ เพราะเชื่อว่าหมอเทพได้มาอยู่ในห้อง ทำให้มีสุขภาพ แข็งแรง เด็กๆไม่งอแง และไม่มีภูตผีมารบกวน นอกจากนี้ผลน้ำเต้ายังเป็นพืชพันธุ์ที่มีเมล็ดมาก มีเครือยาว และออกผลไม่จบสิ้น เปรียบเท่ากับหมื่นชั่วคน ใช้แสดงถึงความเป็นมงคลให้มีอายุยืนยาว สุขภาพแข็งแรง มีลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง

9. ระฆัง (เจง หรือเจ่ง)
เป็นสัญลักษณ์มงคลทางศาสนา หมายถึงการตื่น และการรู้ เสียงระฆังทำให้ตื่นจากการหลงในกิเลสตัณหา ให้รู้สึกตื่น และรู้สัจธรรมที่แท้จริง ยังมีความเชื่ออีกว่า
เสียงระฆังจะนำแต่ข่าวดีและเรื่องมงคลต่างๆมาให้เท่านั้น อีกทั้งยังจะทำให้รู้เท่าทันศัตรูคู่แข่งอีกด้วย

10. เหรียญจีนโบราณ
สัญลักษณ์ที่แสดงถึงความมั่งคั่งร่ำรวย มีเงินทองมากมาย ชาวจีนโบราณถือว่าเป็นหนึ่งในมงคลแห่งสมบัติโบราณ เป็นสิ่งนำโชคลาภมาให้ จึงมักสลักคำสิริมงคล
ไว้บนเหรียญ ซึ่งแปลว่า ให้มีสิริมงคล สมปรารถนา หรือให้มีเงินทองเต็มบ้าน หรือเหรียญตราแห่งความเจริญรุ่งเรือง

11.คทามงคล (ยู่อี่)
สัญลักษณ์แห่งความสมปรารถนา เป็นเครื่องยศชั้นสูง สำหรับจักรพรรดิ ขุนนางชั้นสูง และพระจีนชั้นผู้ใหญ่ไว้ใช้ทำพิธีกรรม ส่วนหัวของ คทาเป็นรูปทรงแป้น งอๆ ซึ่งมาจากรูปลักษณ์ตรงส่วนหัวของเห็ดหลินจือ ที่ชาวจีนโบราณเชื่อว่า มีสรรพคุณเป็นยาอายุวัฒนะ ใครได้กินจะเป็นอมตะ และจัดเป็นพืชมงคลอย่างหนึ่ง คทายู่อี่อาจทำด้วยงาช้าง หยก หิน ไม้ไผ่ และโลหะ ถ้าทำด้วยหยกเรียกว่า "เง็กยู่อี่" เง็ก คือหยก ยู่อี่ แปลว่าสมปรารถนา คทายู่อี่ยังเป็นของวิเศษที่พระโพธิสัตว์ และเทพฮก (ฮก ลก ซิ่ว) ถืออยู่ด้วย เพราะฮก คือความสุข สุขที่เกิดจากการได้สมปรารถนาในทุกเรื่อง จึงเชื่อว่าสัญลักษณ์ยู่อี่นี้ จะนำความสมปรารถนามาให้

12. มังกร (หลง หรือ เล้ง)
เป็นสัญลักษณ์แห่ง พลัง อำนาจ ความยิ่งใหญ่ เพศชาย จักรพรรดิ ประเทศชาติ มังกรถือเป็นสัตว์สำคัญที่สุดของจีน และเป็นสัตว์เทพที่ศักดิ์สิทธิ์ เกิดจากลักษณะของสัตว์ ๕ ชนิด มี เขากวาง หัววัว ตัวงู เกล็ดปลา เท้าเหยี่ยว แต่บางตำราว่า มังกรมีที่มาจากส่วนของสัตว์ ๙ ชนิด คือ เขากวาง หัวอูฐ ตาปีศาจ คองู ท้องหอยแครงยักษ์ เกล็ดปลาตะเพียน หรือปลากะโห้ เล็บอินทรีย์ หรือเหยี่ยว ฝ่าเท้าเสือ หูวัว ที่สำคัญมีหนวดเครางอกยื่นออกนิดเดียว ใช้เวลา ๕๐๐ ปี หากอายุ ๑๐๐๐ ปี จะมีปีกงอกออกบินได้อีก ในปากมังกรจีนมีมุกอัคนี ซึ่งเป็นมุกวิเศษที่ขยายให้เล็ก-ใหญ่ มืด-สว่างได้ ใช้เรียกลม ฝน และปราบภูตผีปีศาจ ใช้แสดงพลังอำนาจ และความยิ่งใหญ่ มังกรเป็นสัตว์เทพ จึงเหาะเหินเดินอากาศได้ แหวกน้ำดำดินได้
การนำสัญลักษณ์มังกรมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นรูปวาด รูปปั้น หรือประดับตามข้าวของเครื่องใช้ หากเป็นของจักรพรรดิ มังกรจะมี ๕ เล็บ ของขุนนางจะมี ๔ เล็บ ถ้าสามัญชนจะมี ๓ เล็บเท่านั้น ตามตำนานจีน มังกรเป็นสัตว์มงคลสูงสุด เป็นราชาแห่งสัตว์มีเกล็ดทั้งมวล เป็นตัวแทนแห่งความแข็งแกร่ง ความดีงาม ความตั้งใจ ความอุตสาหะพยายาม ความกล้าหาญ และความอดทน ชาวจีนจึงถือว่า มังกรคือ จิตวิญญาณของการเปลี่ยนแปลง และฟื้นฟูให้ดีขึ้น และมังกรยังเป็นผู้นำฝนแห่งชีวิตมาให้ ภาพลักษณ์ของมังกร จะเหมาะอย่างยิ่งกับผู้ที่เกิดปีไก่ (ระกา) ซึ่งเชื่อกันว่าแปลงร่างมาเป็นนกโฟนิกซ์ ที่เป็นเพื่อนสนิทกับมังกร

13. หงส์ (เพิ่งหวง)
เป็นสัญลักษณ์ของจักรพรรดินี ความงาม เพศหญิง และการเริ่มต้น หรือการมีชีวิตใหม่ที่ดี หงส์ เป็นสัตว์ในตำนานเหมือนมังกร และกิเลน มีลักษณะของนกมงคล ๕ ชนิดประกอบกัน คือ หัวไก่ฟ้า ปากนกแก้ว ตัวเป็ดแมนดาริน ขนนกกระสา และหางนกยูง หงส์เป็นใหญ่ในสัตว์ปีกทั้งหมด มี ๕ ประเภทคือ ประเภทขนสีแดง ขนสีม่วง ขนสีเหลือง และขนสีขาว (หรือห่านฟ้า) หงส์ตัวเมียมีหัวสีแดง ตัวผู้หัวสีเขียวหรือน้ำเงิน เสียงร้องเหมือนขลุ่ย ไม่กินแมลงที่มีชีวิต ไม่จิกต้นไม้ที่เขียวสด ไม่บินเร่ร่อน เมื่อบินไปไหนจะมีนกอื่นบินตาม นกนี้สามารถหยั่งรู้เหตุการณ์ณืบนโลกได้ จะปรากฏในสถานที่มีความสงบเท่านั้น จึงใช้เป็นสื่อแสดงถึงความงาม และความดี ๕ ประการ คือ คุณธรรม ความยุติธรรม ศีลธรรม มนุษยธรรม และสัจธรรม รวมถึงทางศาสตร์ฮวงจุ้ยจะใช้หงส์ ในความหมายของการตั้งต้นใหม่ที่ดี

14. กิเลน (ฉีหลิน)
สัญลักษณ์ของวาสนา ความมั่นคง และป้องกันสิ่งอัปมงคล กิเลน เป็นสัตว์มงคลตามตำนาน บางครั้งชาวจีนเรียกว่า "ม้ามังกร" เหมือนเรื่องพระอภัยมณีของคน ไทย มีลักษณะของสัตว์มงคล ๕ ชนิดรวมกัน คือ หัวมังกร เขายูนิคอร์น ตัวเป็นกวาง มีเกล็ดเหมือนปลา หางวัว ถือเป็นสัตว์มงคลซึ่งเมื่อปรากฏขึ้นที่ไหน หมายถึงกำลังจะมีเรื่องมงคลเกิดขึ้น หรือจะมีแต่โชคดี ไม่มีเรื่องร้าย และยังเชื่อกันว่า การจัดตั้งกิเลนไว้จะช่วยกรองและขจัดสิ่งอัปมงคลต่างๆ ให้พ้นไป แต่จะนำเอาความโชคดี ข่าวดีมาให้

15. สิงห์ (ไซ หรือจอหงวนไซ)
เป็นสัตว์มงคลที่มีอำนาจในภาคพื้นดิน ให้คุณทางด้านแคล้วคลาดจากภยันตรายทั้งปวง บางตำนานเล่าว่า สิงห์ไม่ใช่สัตว์พื้นบ้านของจีน แต่มีในถิ่นแอฟริกา มีนักเดินทางชาวจีนไปเห็น ก็ ชอบมาก แต่ไม่สามารถนำกลับประเทศได้ จึงจดจำกลับมาสร้างภาพตามจินตนาการ มีความสง่างามกำยำล่ำสัน เสียงร้องก้องกังวาน ถือเป็นเจ้าแห่งสัตว์ป่าทั้งปวง สิงห์จึงเป็นที่ชื่นชม เคารพบูชาตั้งแต่กษัตริย์ จนถึงขุนนาง และนิยมจัดตั้งสิงห์คู่ไว้หน้าสถานที่สำคัญ เช่นหน้าพระราชวัง โบสถ์ วัด ยังมีบางตำนานกล่าวอีกว่า สิงห์ตัวผู้ และตัวเมียหยอกล้อเล่นกัน ขนของมันที่หลุดออกจากตัวเกาะกันเป็นลูกกลมๆ และต่อมาก็มีสิงห์ตัวเล็กออกจากก้อนกลมนั้น เราจึงเห็นรูปปั้นสิงห์ตัวผู้ (หวงไซจื้อ) จะเหยียบลูกโลก หรือลูกบอล ตัวเมีย (ฉือไซจื้อ) เหยียบลูกไว้ ชาวจีนเชื่อว่า การจัดตั้งสิงห์ไว้หน้าประตู หรือปลายหัวเสา แสดงถึงอำนาจ น่าเกรงขาม เพราะสิงห์เป็นสัตว์เทพมงคล โดยเฉพาะสิงห์สีเขียวเป็นสัตว์เทพพาหนะของ มัญชุศรีมหา-โพธิสัตว์ (บุ่งชู้ผ่อสัก) ในพุทธมหายาน ดังนั้นสิงห์จึงเป็นสัญลักษณ์แห่งการปกป้องคุ้มภัย และมีอำนาจขจัดภูตผีปีศาจ ให้กับสถานที่นั้นๆอย่างยอดเยี่ยม

16. คางคกสามขาคาบเหรียญ (เซียมซู้ซากิมจี๊ หรือฉางฉุ)
มีอีกชื่อว่าคางคกฟ้า เป็นสัตว์นำโชค มีมงคลหมายถึงโชคลาภ เงินทอง อายุยืน ลักษณะเหมือนคางคก แต่มีสามขา ปากคาบเหรียญทอง ตามตำนานเล่าว่า เนื้อเซียมซู้เป็นยา อายุวัฒนะ กินแล้วช่วยให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ และเป็นอมตะ ตัวเซียมซู้จึงถูกจับกิน จนต้องอพยพทิ้งถิ่นไปอยู่บนดวงจันทร์ มีชายคนหนึ่งชื่อเหล่าไฮ้ เป็นผู้โชคดีได้พบตัวเซียมซู้ แล้วเก็บมาเลี้ยงอย่างดี จึงบันดาลให้เกิดโชคมากมาย ที่เคยยากจนก็กลับร่ำรวยขึ้นมา ชาวจีนเชื่อว่า เซียมซู้ เป็นสัตว์มงคล ที่นำความร่ำรวย มีโชคลาภ และอายุยืนมาให้

17. กวาง (หลู้ หรือลก)
เป็นสัญลักษณ์แทนเทพเจ้าลก ในฮก ลก ซิ่ว ซึ่งหมายถึงยศถาบรรดาศักดิ์ ความร่ำรวย รุ่งเรือง มั่งคั่ง อายุยืนยาว กวาง เป็นสัตว์อายุยืนมาก กวางสีเทามีอายุ ๑,๐๐๐ ปี กวางสีดำมีอายุ ๑,๕๐๐ -๒๐๐๐ ปี และพบว่ากวางถูกใช้ในพิธีบูชายัญ เพื่อความเป็นอมตะ ดังนั้นชาวจีนจึงเชื่อว่า ภาพหรือรูปปั้นกวาง นำสิ่งมงคลถึงความยืนยาว ทั้งด้านยศศักดิ์ ความก้าวหน้า ความร่ำรวย และสุขภาพดี มาให้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

18. เต่ามังกร
สัญลักษณ์ของความแข็งแกร่ง อายุยืน สุขภาพดี ตั้งใจ มุมานะ นำไปสู่ความก้าวหน้า ความสำเร็จ อย่างมั่นคง ยืนยาว และรวมถึงความเพิ่มพูนด้านทรัพย์สินเงินทอง และป้องกันคุ้มภัยจากสิ่งชั่วร้าย เต่ามังกร เป็นสัตว์เทพที่มีพลังอำนาจ เป็นที่ศรัทธาสูงสุดของราชวงศ์ถัง ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ถังได้สร้างรูปปั้นเต่ามังกรไว้หน้าพระราชวัง และเป็นความเชื่อสืบต่อกันมาของชาวจีน เพราะมีความเชื่อว่า เต่ามังกร เป็นลูกตัวที่ ๙ ของพญามังกร ซึ่งออกมาเป็นเต่าหัวเป็นมังกร ตามความหมายแล้ว เต่า เป็นตัวแทนของความยั่งยืน แข็งแรง อดทน มีเกราะป้องกันอันตราย ส่วนมังกร คือ ความยิ่งใหญ่ ความดีงาม ความกล้าหาญ วาสนาบารมีสูงส่ง จึงถือเป็นมงคลสูงสุด เมื่อสัตว์มงคลทั้งสองชนิดมารวมกันไว้ ซึ่งเป็นสุดยอดปรารถนาของชาวจีนในอดีต และเป็นที่เชื่อถือมาจนถึงปัจจุบัน

19. ปลา (ฮื้อ หรือ อวี๋)
สัญลักษณ์ของการมีมากมายล้นเหลือ ได้กำไร ได้ประโยชน์ ภาษาจีนแต้จิ๋ว ฮื้อ เป็นคำพ้องเสียงแปลว่ามากมายล้นเหลือ ใช้แสดงถึงความหมายมงคล ให้มีสิ่งที่ ต้องการมากมาย มีเหลือกินเหลือใช้ ไม่ขาด และโชคดี หากเป็นปลาทอง จะหมายถึงทองและหยกเต็มบ้าน หากเป็นปลาหลี่ฮื้อ หรือหลี่อวี๋ หมายถึง ความสำเร็จ โดยมีตำนานว่า ปลาหลี่ฮื้อตัวใดสามารถว่ายมาถึงประตูมังกรที่ปากทางสวรรค์ แล้วกระโดดข้ามไปได้ จะกลายเป็น "ปลามังกร" ซึ่งเป็นคติสอนใจชาวจีนว่า คนจนก็มีสิทธิ์รวยได้ ถ้ามีความมุ่งมั่นและพยายามเหมือนปลาหลี่ฮื้อ ที่เพียรว่ายน้ำมาจนถึงปากทางสวรรค์ และใช้แรงพยายามสุดชีวิตเพื่อให้เข้าประตูมังกรได้สำเร็จ ซึ่งจะได้เปลี่ยนเป็นปลาที่มีเกียรติยศสง่างาม ถ้าปลาตัวใดกระโดดข้ามไม่ได้ก็ยังคงเป็นปลาหลี่ฮื้อตามเดิม จึงนิยมใช้ปลาหลี่ฮื้อแทนคำอวยพรที่ว่า ขอให้ประสบความสำเร็จในชีวิต และให้มีเพียงพอ

20. เป็ดแมนดาริน (อวงเอียง)
สัญลักษณ์ของการมีชีวิตคู่ที่มีความสุข การแต่งงาน ตามธรรมชาติของเป็ดแมนดาริน จะอยู่ด้วยกันเป็นคู่เสมอ จึงใช้อวยพรคู่บ่าวสาวให้มีชีวิตคู่เปี่ยมสุข และซื่อสัตย์ต่อกัน จึงมีความเชื่อว่า การใช้สัญลักษณ์เป็ดคู่ จะเป็นมงคลสูงสุดในเรื่องของความสมหวังใน ความรัก

21. ม้า (หม่า)
สัญลักษณ์แทนความว่องไว รวดเร็ว ทันที แข็งแรง ไม่หยุดอยู่กับที่ การเดินทาง เลื่อนตำแหน่ง
ชาวจีนเชื่อกันว่า การจัดวางม้าสามตัวจะสามารถแก้การแตกแยกได้ หรือใช้ภาพม้าแปดตัว แปด
อิริยาบถ เพื่อเสริมความก้าวหน้ารุ่งเรืองในทางธุรกิจการค้า สำเร็จรวดเร็ว ม้า ยังเป็นสัญลักษณ์แทนคำอวยพรให้สุขภาพแข็งแรงอีกด้วย

22. หมู (จู)
สัญลักษณ์ของการสอบได้ ทุกเรื่องง่าย สมบูรณ์พร้อม กินอิ่มนอนหลับ ชาวจีนเชื่อกันว่า การอวยพรโดยใช้รูปหมู หมายถึงการให้สอบได้ ส่วนคำว่า "ฮวน"ที่แปลว่าหมูป่าจะ หมายถึงความสนุกสนาน ใช้แทนความหมายดีใจอย่างยิ่ง บางตำราเชื่อว่า หมูเป็นสัญลักษณ์ของความสมบูรณ์พร้อม ในเรื่องของการมีกินมีใช้ตลอด กินอิ่มนอนหลับ สบายใจ เพราะทุกเรื่องที่ยากจะกลับเป็นเรื่องง่ายๆ

23. ปี่เซียะ / ผี่ชิว หรือเผ่เย่า
สัญลักษณ์ของสัตว์มงคลนำโชค ป้องกันและกำจัดสิ่งอัปมงคล มีลักษณะรูปร่างคล้ายกวาง มีเขี้ยว ตาโปน ปากกว้าง มีเขา หางยาว ปีกสั้น แต่บางตัวก็ไม่มีปีก มีอุปนิสัยกล้าหาญ เปิดเผย จงรักภักดี ซื่อสัตย์กับเจ้าของ ซึ่งรูปลักษณะของปี่เซียะเป็นการรวมสัตว์มงคล ๕ ชนิด ๕ ธาตุไว้ด้วยกัน คือ มีสี่เท้าของสิงโตอันทรงพลัง (ธาตุทอง) มีเขาและลำตัวเป็นกวาง (ธาตุน้ำ) มีปีกของพญานกอันแข็งแกร่ง (ธาตุไฟ) มีศรีษะของมังกรอันทรงพลัง (ธาตุไม้) มีหางแมวอันศักดิ์สิทธิ์ (ธาตุดิน) จึงเป็นความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับรูปลักษณะว่า เท้าตะปบเงิน ยกหัวข่มศัตรูคู่แข่ง อ้าปากกว้างรับทรัพย์ ลิ้นตวัดเกี่ยวเงินทอง หางยาวกวักโชคลาภ ไม่มีรูทวารเงินทองจึงไม่รั่วไหล เล่ากันว่า ปี่เซียะเป็นราชบุตรองค์ที่ ๙ ของพญามังกรสวรรค์ ที่เรียกกันหลายชื่อ ขึ้นอยู่กับสถานที่พบเห็น บ้างก็ว่า "เผ่เย่า"อยู่บนสวรรค์ "ผี่ชิว"อยู่บนโลกมนุษย์ "พีแคน"อยู่ในมหาสมุทร แต่ทั้งหมดจัดเป็นสัตว์เทพ ที่นำโชคลาภและขจัดสิ่งอัปมงคล ป้องกันอันตราย รวมทั้งยังช่วยนำพาลาภลอยมาให้ โดยเฉพาะโชคลาภที่เกี่ยวข้องกับการงาน หรืออาชีพที่ต้องเสี่ยง
เชื่อว่า ปี่เซียะ มีพลังแรงมากในเรื่องการนำโชค หากยิ่งได้นำไปตั้งคู่กับ "กิเลน"ด้วยแล้ว จะยิ่งมีพลังแรงมากขึ้นไปอีก ผู้ที่จัดตั้งปี่เซียะนั้นควรเป็นผู้มีศีลธรรม คุณธรรม จึงจะประสบผล แต่หากมีนิสัยคดโกง ประพฤติผิดศีลธรรม ไม่มีคุณธรรมแล้ว ก็จะได้รับผลในทางตรงกันข้าม

24. แพะ (เหยียงหรือเอี๊ย)
สัญลักษณ์แห่งความโชคดี ความรุ่งเรือง และความสำเร็จ คนจีนโบราณยกย่องให้แพะเป็นสัตว์มงคล หมายถึงโชคดี และความรุ่งเรือง มีการวาดหรือปั้นลวดลาย แพะสามตัว พ่อแม่ลูกกับดวงอาทิตย์ (ซาเอี๊ยไคไข่) ลายแพะสามตัวเปิดประตู (ซาเอี๊ยคุยมึ้ง) ถือเป็นมงคลและเป็นการอวยพร หมายถึงความรุ่งเรือง ความสำเร็จได้กลับมา อุปมาเหมือนเมื่อฤดูใบไม้ผลิ ความสดชื่นเขียวชอุ่มสวยงามก็กลับมา

25. กระต่าย (ทู่จื่อ หรือ โท้วบุ๊ง)
สัญลักษณ์ให้มีอำนาจ ความสามารถ ความกล้าหาญ และยุติธรรม ตามความเชื่อของชาวจีนสมัยโบราณเชื่อว่า ฝูงกระต่ายสีขาวบนดวงจันทร์ มีหน้าที่ปรุงยาอายุวัฒนะ จึงวาดลวดลายมงคลเป็นกระต่าย ๓ ตัววิ่งไล่กันเป็นวงกลม โดยให้หูข้างเดียวของกระต่ายแต่ละตัวอยู่ตรงกลางเป็นสามเหลี่ยม เมื่อดูทีละตัวจึงจะเห็นกระต่ายแต่ละตัวมีหูสองข้าง ใช้แสดงมงคลถึงการให้มีอำนาจ กล้าหาญ และยุติธรรม หากใช้สัญลักษณ์ "กระต่ายป่า" จะหมายถึงความมีอายุยืนเหมือนกวาง

26. กุ้ง (เซีย)
สัญลักษณ์แห่งความโชคดี ผ่านพ้นอุปสรรค เชื่อกันว่าลักษณะตัวงอของกุ้ง ทำให้ตัวเองมีแรงกระโดดได้ไกล ไม่มีอุปสรรคทั้งทางโค้งทางลัด จึง หมายถึงการทำสิ่งใดได้ผลตามที่ปรารถนา สามารถผ่านพ้นอุปสรรคทั้งหลายได้ และโชคดีในทุกเรื่อง

27. ถั่วลิสง (หลัวฮวาเชิง)
ถือเป็นผลไม้มงคลอย่างหนึ่ง ซึ่งได้รับขนานนามว่า เมล็ดพันธุ์แห่งความยั่งยืน ถั่วลิสง สามารถเจริญเติบโตได้ดีเมื่ออยู่ใต้ดิน มีเมล็ดเป็นพวงคล้ายองุ่น เก็บไว้ได้นานไม่เน่าเปื่อย มีรสชาติอร่อย หอมและมีคุณค่าต่อร่างกาย จึงใช้ถั่วลิสงเป็นสัญลักษณ์มงคล แสดงถึงความงอกเงย งอกงามและความยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง

28. ต้นไผ่ (จู๋)
สัญลักษณ์แห่งความก้าวหน้า การยืดหยุ่น มั่นคง ทนทาน อายุยืน ดังสุภาษิตที่ว่า ต้นไผ่สูงขึ้นร้อยเมตร ชีวิตต้องก้าวหน้าไปหนึ่งก้าว ( แป๊ะเชี๊ยะกอเท้า เก๊งจิ๊งเจ๊กโป่ว) ไผ่ คือต้นไม้มงคล ตามลักษณะของไผ่ เป็นไม้ที่มีประโยชน์มาก ปลูกง่ายโตเร็ว แตกกอเร็ว และให้ใบ สีเขียวตลอดปี ในฤดูหนาวต้นไผ่จะไม่แห้งตาย และลู่ตามกระแสลม โดยเฉพาะเสียงแตกของไม้ไผ่ในกองไฟนั้น ใช้ขับไล่ภูตผีปีศาจได้ (เป็นต้นกำเนิดเสียงประทัด) และทำให้เกิดความสงบร่มเย็น ภาษาจีน คำว่า "จู๋" แปลว่า อวยพร ดังนั้น ต้นไผ่จึงเป็นสุดยอดไม้มงคลของการอวยพร ตามความหมายให้ก้าวหน้า รุ่งเรืองอย่างมั่นคงตลอดกาล

29. เจ้าแม่กวนอิม หรือพระโพธิสัตว์กวนอิม
เทพแห่งความเอื้ออารี ช่วยเหลือผู้ประสบทุกข์ จะประทานพรให้ตามคำอธิษฐาน

30. ฮัวฮะ
เซียนคู่ องค์หนึ่งมีของวิเศษเป็นใบบัว อีกองค์ถือตลับกลม เป็นมงคลให้รักใคร่ปรองดองกัน บ้านไหนพี่น้องชอบตีกัน สามีภรรยาวิวาทกัน หรือที่ทำงานพนักงานไม่ลงรอยกัน ตั้งฮัวฮะไว้ จะอยู่เย็นเป็นสุข

31. ดอกโบตั๋น
ความมั่งคั่ง มีเกียรติ ความสง่างาม

32. ช้าง
เป็นสัตว์ที่มีอำนาจ พละกำลัง และฉลาด ถือสัตว์มงคลที่ช่วยนำความสำเร็จมาให้

33. เสือ
เป็นสัตว์เทพที่มีอำนาจ ใช้ป้องกันภูตผีปีศาจ และคุ้มครองชีวิต

34. ไก่
หงอนที่หัวหมายถึง ความมีสติปัญญาทางหนังสือ เดือยที่เท้าหมายถึง ความองอาจกล้าหาญ สัญชาตญาณการปกป้องตัวเมีย แสดงถึงความเมตตากรุณา คนจีนใช้เป็นมงคลในเรื่องของตำแหน่งทางการงาน และใช้เพื่อป้องกันไฟ

35. เต่า
อายุยืน แข็งแกร่ง อดทน

36. ลิง
ได้ยศศักดิ์ตำแหน่งสูงทุกชั่วคน

37.สุนัข
ปกป้องทรัพย์สิน

38. เรือใบ
ความสะดวกปราศจากอันตราย และนำเงินทองเข้ามา

39. ผลท้อ
ขจัดภูตผีปีศาจ และป้องกันโรคภัย อายุยืน

40. ง่วนป้อ
ความมั่งคั่ง รองรับโชคลาภ เงินทอง

41. ชาวประมงตกปลา
ให้ได้กำไร มากมาย

42. จักจั่น
อมตะ การฟื้นคืนชีพ เป็นสัญลักษณ์ของความสุข และหนุ่มสาวตลอดกาล เพราะจักจั่นเป็นแมลงชนิดเดียวที่มีอายุยืนยาวถึงสิบเจ็ดปี และยังเป็นมงคลแทนการสอบได้ เรียนเก่ง ความสำเร็จ

43. ยันต์แปดทิศ (โป๊ยก่วย)
ใช้แก้ฮวงจุ้ยที่เสียให้ดีขึ้น และป้องกันสิ่งอัปมงคลต่างๆ

44. ใบไม้
ความสุขสันติ ปัดเป่าความชั่วร้าย

ที่มา -
http://board.palungjit.com/f16/%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%94-28-%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B5%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%93-136778.html




สัตว์มงคลของจีน

จีนเป็นชาติที่มีอารยธรรมยาวนาน ประชากรมากและกระจายอยู่ทุกมุมโลก มีความสามารถในการค้าขาย สามารถขายของได้ทุกอย่าง และมีของมงคลที่นิยมนำมาบูชามากมาย ทั้งรูปสุตว์ รูปเทพและอื่นๆ ในบทความนี้จะแนะนำสัตว์มงคลที่คนจีนนิยมบูชา

มังกรหรือหลุง (Lung)
มังกร ราชาแห่งสรรพสัตว์ที่มีเกล็ดทั้งมวลในจักรวาล เป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่ง ความดีงาม ความตั้งใจอุตสาหะพยายาม ความกล้าหาญและความอดทน มังกรคือจิตวิญญาณแห่งการเปลี่ยนแปลง และการฟื้นฟูให้ดีขึ้น นอกจากนี้มังกรยังเป็นผู้นำฝนแห่งชีวิตมาให้ จึงนับได้ว่ามังกรเป็นตัวแทนของพลังแห่งผลิตผลตามธรรมชาติ
สำหรับชาวจีน มังกรหมายถึงความโชคดีทั้งหลายจึงทำให้ร้านอาหาร และร้านค้าใช้รูปมังกรเป็นสัญลักษณ์ของตน นอกจากนี้ชาวจีนยังยกให้มังกรเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจอันยิ่งใหญ่ แห่งองค์จักรพรรดิอีกด้วย ภายในท้องพระโรงใหญ่และพระราชวังแห่งนครต้องห้าม (The Forbidden City) ในเมืองปักกิ่งจะมีการตกแต่งประดับประดาไปด้วยมังกรนับพันๆ ตัวเกี่ยวกระหวัดอยู่ตามผนังห้อง เพดาน ประตู และพระราชบัลลังก์ขององค์จักรพรรดิ ภาพมังกรเหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนเกิดปีระกาซึ่งเชื่อกันว่า แปลงร่างมาเป็นนกโฟนิกซ์ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกันกับมังกร

นกโฟนิกซ์ หรือ เฟิงหวง (Feng Huang)
เป็นราชาแห่งสัตว์ปีกและเป็นนกที่งดงามที่สุดในจักรวาล เป็นสัญลักษณ์ของความอบอุ่นแห่งแสงตะวัน ฤดูร้อน และไฟ เชื่อกันว่านกโฟนิกซ์จะปรากฏกายเฉพาะช่วงที่เกิดความสงบสุข และความเจริญรุ่งเรืองเท่านั้น ตามตำราฮวงจุ้ย นกโฟนิกซ์เป็นตัวแทนของทิศใต้ และเชื่อกันว่าบ้านที่หันหน้าไปทางทิศใต้จะได้รับโชคดีเพราะทิศใต้หมายถึงฤดูร้อน ความอบอุ่น ชีวิต และระยะเวลาเก็บเกี่ยว
นอกจากนี้ยังมีความเชื่อที่ว่านกโฟนิกซ์เป็นนกที่มีอำนาจ ในการช่วยเหลือคู่สมรสที่ไม่มีบุตร เชื่อกันว่าหากนำรูปนกโฟนิกซ์และมังกรมาประดับในงานแต่งงานแล้ว จะช่วยให้บุตรที่เกิดมาแข็งแรงมีสุขภาพดี เพราะแสดงถึงการรวมตัวของสัตว์มงคลที่ยิ่งใหญ่ทั้งสองชนิด

ม้ายูนิคอร์น หรือ ฉีหลิน (Chi Lin)
สัญลักษณ์ของความมีอายุยืน ความฉลาด ความสง่างาม ความร่าเริง และชื่อเสียง ชาวจีนเชื่อกันว่ายูนิคอร์นจะอยู่อย่างสันโดษ และจะปรากฏกายต่อเมื่อพระราชาผู้ทรงคุณธรรม ได้ขึ้นครองราชย์หรือมีนักปราชญ์ผู้ชาญฉลาดกำเนิดขึ้น การนำภาพหรือรูปปั้นของยูนิคอร์นมาตกแต่งบ้านจะทำให้คนในบ้าน มีความเมตตากรุณาและมีความเฉลียวฉลาดมากขึ้น
เต่าถือกันว่าเป็นสัตว์ที่นำมาบูชา เป็นสัญลักษณ์ของความมีอายุยืน ความแข็งแกร่ง ความอดทน นักฮวงจุ้ยเชื่อว่าการเลี้ยงเต่าเป็นๆ จะทำให้ได้กุศลผลบุญ และด้วยเหตุที่เต่าเป็นสัญลักษณ์ของการมีอายุยืนยาว ผู้ที่ปราถนาจะมีอายุยืนและสุขภาพแข็งแรงจึงนิยมเลี้ยงเต่ากันมาก



มังกร

มังกร

มังกร (อังกฤษ: dragon; จากละติน: draco)
เป็นสัตว์วิเศษที่รู้จักกันในวรรณคดีของจีนและตะวันตก แม้จะใช้คำว่ามังกร (dragon) เหมือนกัน แต่มังกรของจีนและตะวันตกนั้นสื่อถึงสัตว์ต่างชนิดกัน มังกรของจีนมีรูปร่างลักษณะจัดอยู่ในประเภทสัตว์เลื้อยคลานหรืองู ไม่มีปีก แต่สามารถบินไปในอากาศได้ ส่วนมังกรของตะวันตกจะมีขา มีปีกและสามารถพ่นไฟได้

ในตำนานยุโรป มังกรเป็นสัตว์อันตรายและน่าสะพรึงกลัวสำหรับมนุษย์ มังกรจึงเป็นศัตรูตัวฉกาจของเหล่าวีรบุรุษทั้งหลาย การฆ่ามังกรและขึ้นเถลิงราชย์เป็นกษัตริย์. มังกรจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของกษัตริย์ ทั้งที่มีตัวตนจริง ๆ และในตำนานต่าง ๆ เช่น กษัตริย์อาเธอร์ ซึ่งมีนามสกุลว่า Pendragon มีความหมายว่า 'ศีรษะของมังกร' หรือ 'หัวหน้ามังกร' และมงกุฎของกษัตริย์อาเธอร์ ก็เป็นรูปมังกร ส่วนในตำนานจีน มังกรเป็นสัตว์มงคลและมีสถานะเป็นเทพเจ้า เสื้อคลุมมังกร 5 เล็บเป็นเครื่องทรงของที่กษัตริย์สามารถใช้ได้เท่านั้น ส่วนเครื่องทรงที่มีรูปมังกร 4 เล็บจะเป็นชุดสำหรับขุนนาง และ 3 เล็บสำหรับประชาชนทั่วไป

เราพบมังกรได้ง่ายและบ่อยมาก ไม่ว่าจะเป็นในตำนานของทางยุโรปหรือเอเชียก็ตาม เรียกว่าที่ใดมีอารยธรรมและตำนาน ที่นั่นก็ต้องมีมังกรเป็นของคู่กัน. มังกรนั้นมีรูปร่างและลักษณะหลายอย่าง แตกต่างไปตามความเชื่อของแต่ละท้องถิ่น แต่โดยทั่ว ๆ ไปแล้วจะมีจุดเด่นคือ เป็นสัตว์ขนาดใหญ่ ร่างกายใหญ่โต มีพละกำลังมาก บางครั้งอาจพ่นไฟได้ หรือมีอำนาจเวทมนตร์มหาศาล และที่สำคัญคือ บินได้ (อาจจะมีปีกหรือไม่มีก็ได้) โดยขนาดรูปร่างและสีนั้น ก็แตกต่างกันไป

อย่างไรก็ตาม มังกรที่พบในตำนานของทางยุโรปและของทางเอเชียนั้น ค่อนข้างจะแตกต่างกันในแง่สัญลักษณ์ โดยเฉพาะคติของจีนที่มักจะถือว่า มังกรนั้นคือเทพเจ้า และเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นมงคล รวมถึงเป็นสัญลักษณ์ของจักรพรรดิ (ซึ่งเป็นสมมติเทพ) แต่ทางยุโรปนั้นมักจะถือมังกรเป็นสัญลักษณ์ของความชั่วร้าย (อันเป็นคติที่สืบทอดมาจากความหวาดกลัวงูของชาวยุโรป)


วันอังคารที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2556

กวนอิม

กวนอิม




กวนอิม ตามสำเนียงฮกเกี้ยน หรือ กวนอิน ตามสำเนียงกลาง (จีน: 觀音; พินอิน: Guān Yīn; อังกฤษ: Guan Yin)

พระโพธิสัตว์ ของพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน เป็นองค์เดียวกันกับพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ในภาษาสันสกฤต ซึ่งมีต้นกำเนิดจากพระสูตรมหายานในอินเดีย และได้ผสมผสานกับตำนานเรื่องพระธิดาเมี่ยวซ่าน ซึ่งเป็นความเชื่อพื้นถิ่นดั้งเดิมของจีนจนก่อให้เกิดเป็นพระโพธิสัตว์กวนอิมในภาคสตรีขึ้น เพื่อแสดงออกถึงความอ่อนโยน และแสดงถึงความเมตตากรุณาให้เด่นชัดยิ่งขึ้นดังเช่นความรักของมารดาที่มีต่อบุตร ซึ่งเป็นการผสมผสานกลมกลืนทางความเชื่อที่ปราศจากข้อขัดแย้ง เนื่องจากในสัทธรรมปุณฑรีกสูตรได้อธิบายว่า พระอวโลกิเตศวรนั้นสามารถแบ่งภาคเพื่อโปรดสรรพสัตว์ได้มากมายทั้งปางบุรุษและสตรี และเป็นธรรมดาของพระโพธิสัตว์มหายานที่เมื่อเข้าไปสู่ดินแดนอื่นทั้งทิเบต จีน หรือญี่ปุ่น ย่อมผสมผสานกลมกลืนได้กับเทพท้องถิ่นนั้น ๆ อย่างในกรณีพระอวโลกิเตศวรนี้ Sir Charles Eliot ได้ตั้งข้อสังเกตว่า "คงเนื่องมาจากความสับสนทางความคิดของชาวจีนในยุคนั้น ซึ่งบูชาเทพเจ้าต่าง ๆ ของตนอยู่แล้ว และเมี่ยวซ่านก็เป็นเทพวีรชนดั้งเดิมอยู่ก่อน พออารยธรรมพระโพธิสัตว์จากอินเดียแผ่เข้าไปถึง ได้เกิดการผสานทางวัฒนธรรมเปลี่ยนชื่อเสียงคงไว้เพียงแต่คุณลักษณะต่าง ๆ พอให้แยกออกว่าเป็นพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์"



พระโพธิสัตว์กวนอิมในตำนานฝ่ายจีน

พระโพธิสัตว์กวนอิม (ประสูติ 19 เดือนยี่จีน) ชาติสุดท้ายเป็น ราชธิดานาม เมี่ยวซ่าน เดิมเป็นเทพธิดา จุติลงมายังโลกมนุษย์เพื่อมาช่วยปลดเปลื้องทุกข์ภัยแก่มวลมนุษย์ เป็นราชธิดาองค์สุดท้ายของกษัตริย์ เมี่ยวจวง ซึ่งมีราชธิดา 3 องค์ องค์โตชื่อ เมี่ยวอิม องค์รองชื่อ เมี่ยวหยวน เยาว์วัยเป็นพุทธมามกะ รู้แจ้งในหลักธรรมลึกซึ้ง ตั้งพระทัยแน่วแน่จะบำเพ็ญภาวนา เพื่อหลุดพ้นสังสารวัฏ ออกบวชวันที่ 19 เดือน 9 พระเจ้าเมี่ยวจวงไม่เห็นด้วย จะบังคับให้เลือกราชบุตรเขย เพื่อจะได้สืบทอดราชบัลลังก์ต่อไป แต่เจ้าหญิงเมี่ยวซ่านไม่สนพระทัยเรื่องลาภ ยศ สรรเสริญ อันจอมปลอม แม้จะถูกพระบิดาดุด่าอย่างไร องค์หญิงก็ไม่เคยนึกโกรธเคืองแต่อย่างใด

ต่อมาองค์หญิงสามได้ถูกขับไปทำงานหนักในสวนดอกไม้ เช่น หาบน้ำ ปลูกดอกไม้ ทั้งนี้เพื่อทรมานให้เปลี่ยนความตั้งใจ แต่ก็มีเหล่ารุกขเทวดามาช่วยทำแทนให้ทั้งหมด พระบิดาเมื่อเห็นว่าไม่ได้ผล จึงรับสั่งให้หัวหน้าแม่ชี นำองค์หญิงสามไปอยู่ที่วัดนกยูงขาว และให้เอางานของแม่ชีทั้งวัดมอบให้องค์หญิงทำคนเดียว แต่องค์หญิงมีพระทัยเด็ดเดี่ยว ไม่เกี่ยงงานการต่างๆ ก็มีเหล่าเทพารักษ์มาช่วยทำแทนให้อีก พระเจ้าเมี่ยวจวงเข้าพระทัยว่า พวกแม่ชีไม่กล้าเคี่ยวเข็ญใช้งานหนัก ก็ยิ่งทรงกริ้วหนักขึ้น สั่งให้ทหารเผาวัดนกยูงขาวจนวอดเป็นจุณไป พร้อมกับพวกแม่ชีทั้งวัด มีแต่เจ้าหญิงเมี่ยวซ่านเท่านั้นที่ปลอดภัยรอดชีวิตมาได้

พระเจ้าเมี่ยวจวงทรงทราบดังนั้น จึงรับสั่งให้นำตัวราชธิดาไปประหารชีวิต เทพารักษ์คอยคุ้มครองเจ้าหญิงอยู่ โดยเนรมิตทองทิพย์เป็นเกราะห่อหุ้มตัว คมดาบของนายทหารจึงไม่อาจระคายพระวรกาย ดาบหักถึง 3 ครั้ง 3 ครา พระบิดาทรงกริ้วยิ่งนัก โดยเข้าพระทัยว่านายทหารไม่กล้าประหารจริง จึงให้ประหารนายทหารแทน แล้วรับสั่งให้จับเจ้าหญิงไปแขวนคอ ทว่าผ้าแพรที่แขวนคอก็ขาดสะบั้นลงอีก

ทันใดนั้นปรากฏมีเสือเทวดาตัวหนึ่งได้นำเจ้าหญิงขึ้นพาดหลังแล้วเผ่นหนีไปที่เขาเซียงซัน ต่อมา เทพไท่ไป๋ได้แปลงร่างเป็นชายชรามาโปรดเจ้าหญิง ชี้แนะเคล็ดวิธีการบำเพ็ญเพียรเครื่องดับทุกข์ จนสามารถบรรลุมรรคผลสำเร็จธรรม วันที่ 19 เดือน 6 ข้างฝ่ายพระบิดาเข้าพระทัยว่า เจ้าหญิงถูกเสือคาบไปกินเสียแล้ว จึงไม่ได้ติดใจตามราวีอีก

ต่อมาไม่นานบาปกรรมที่พระองค์ก่อไว้ส่งผล เกิดป่วยด้วยโรคร้ายแรง ไม่มียารักษาให้หายได้ เจ้าหญิงเมี่ยวซ่านได้ทรงทราบด้วยญาณวิถีว่า พระบิดากำลังประสบเคราะห์กรรมอย่างหนัก ด้วยความกตัญญูกตเวทีเป็นเลิศ มิได้ถือโทษโกรธการกระทำพระบิดาแม้แต่น้อย ทรงได้สละดวงตาและแขนสองข้าง เพื่อรักษาพระบิดาจนหายจากโรคร้าย ว่ากันว่า ภายหลังสำเร็จอรหันต์ ได้ดวงตาและพระกรคืน เคยแสดงปาฏิหาริย์เป็นปางกวนอิมพันมือ องค์หญิงเมี่ยวซ่านนั้น ตอนแรกเป็นชาวพุทธ ตอนหลังเทพไท่ไป๋ได้มาโปรด ชี้แนะหนทางดับทุกข์ เหตุนี้พระโพธิสัตว์กวนอิมจึงเป็นเทพทั้งฝ่ายพุทธและฝ่ายเต๋าในเวลาเดียวกัน




ประวัติเจ้าแม่กวนอิม

ประวัติเจ้าแม่กวนอิม



พระโพธิสัตว์กวนอิม (ประสูติ 19 เดือนยี่จีน) ชาติสุดท้ายเป็น ราชธิดานาม เมี่ยวซ่าน เดิมเป็นเทพธิดา จุติลงมายังโลกมนุษย์เพื่อมาช่วยปลดเปลื้องทุกข์ภัยแก่มวลมนุษย์ เป็นราชธิดาองค์สุดท้ายของกษัตริย์ เมี่ยวจวง ซึ่งมีราชธิดา 3 องค์ องค์โตชื่อ เมี่ยวอิม องค์รองชื่อ เมี่ยวหยวน เยาว์วัยเป็นพุทธมามกะ รู้แจ้งในหลักธรรมลึกซึ้ง ตั้งพระทัยแน่วแน่จะบำเพ็ญภาวนา เพื่อหลุดพ้นสังสารวัฏ ออกบวชวันที่ 19 เดือน 9 พระเจ้าเมี่ยวจวงไม่เห็นด้วย จะบังคับให้เลือกราชบุตรเขย เพื่อจะได้สืบทอดราชบัลลังก์ต่อไป แต่เจ้าหญิงเมี่ยวซ่านไม่สนพระทัยเรื่องลาภ ยศ สรรเสริญ อันจอมปลอม แม้จะถูกพระบิดาดุด่าอย่างไร องค์หญิงก็ไม่เคยนึกโกรธเคืองแต่อย่างใด

ต่อมาองค์หญิงสามได้ถูกขับไปทำงานหนักในสวนดอกไม้ เช่น หาบน้ำ ปลูกดอกไม้ ทั้งนี้เพื่อทรมานให้เปลี่ยนความตั้งใจ แต่ก็มีเหล่ารุกขเทวดามาช่วยทำแทนให้ทั้งหมด พระบิดาเมื่อเห็นว่าไม่ได้ผล จึงรับสั่งให้หัวหน้าแม่ชี นำองค์หญิงสามไปอยู่ที่วัดนกยูงขาว และให้เอางานของแม่ชีทั้งวัดมอบให้องค์หญิงทำคนเดียว แต่องค์หญิงมีพระทัยเด็ดเดี่ยว ไม่เกี่ยงงานการต่างๆ ก็มีเหล่าเทพารักษ์มาช่วยทำแทนให้อีก พระเจ้าเมี่ยวจวงเข้าพระทัยว่า พวกแม่ชีไม่กล้าเคี่ยวเข็ญใช้งานหนัก ก็ยิ่งทรงกริ้วหนักขึ้น สั่งให้ทหารเผาวัดนกยูงขาวจนวอดเป็นจุณไป พร้อมกับพวกแม่ชีทั้งวัด มีแต่เจ้าหญิงเมี่ยวซ่านเท่านั้นที่ปลอดภัยรอดชีวิตมาได้

พระเจ้าเมี่ยวจวงทรงทราบดังนั้น จึงรับสั่งให้นำตัวราชธิดาไปประหารชีวิต เทพารักษ์คอยคุ้มครองเจ้าหญิงอยู่ โดยเนรมิตทองทิพย์เป็นเกราะห่อหุ้มตัว คมดาบของนายทหารจึงไม่อาจระคายพระวรกาย ดาบหักถึง 3 ครั้ง 3 ครา พระบิดาทรงกริ้วยิ่งนัก โดยเข้าพระทัยว่านายทหารไม่กล้าประหารจริง จึงให้ประหารนายทหารแทน แล้วรับสั่งให้จับเจ้าหญิงไปแขวนคอ ทว่าผ้าแพรที่แขวนคอก็ขาดสะบั้นลงอีก
 ทันใดนั้นปรากฏมีเสือเทวดาตัวหนึ่งได้นำเจ้าหญิงขึ้นพาดหลังแล้วเผ่นหนีไปที่เขาเซียงซัน ต่อมา เทพไท่ไป๋ได้แปลงร่างเป็นชายชรามาโปรดเจ้าหญิง ชี้แนะเคล็ดวิธีการบำเพ็ญเพียรเครื่องดับทุกข์ จนสามารถบรรลุมรรคผลสำเร็จธรรม วันที่ 19 เดือน 6 ข้างฝ่ายพระบิดาเข้าพระทัยว่า เจ้าหญิงถูกเสือคาบไปกินเสียแล้ว จึงไม่ได้ติดใจตามราวีอีก

ต่อมาไม่นานบาปกรรมที่พระองค์ก่อไว้ส่งผล เกิดป่วยด้วยโรคร้ายแรง ไม่มียารักษาให้หายได้ เจ้าหญิงเมี่ยวซ่านได้ทรงทราบด้วยญาณวิถีว่า พระบิดากำลังประสบเคราะห์กรรมอย่างหนัก ด้วยความกตัญญูกตเวทีเป็นเลิศ มิได้ถือโทษโกรธการกระทำพระบิดาแม้แต่น้อย ทรงได้สละดวงตาและแขนสองข้าง เพื่อรักษาพระบิดาจนหายจากโรคร้าย ว่ากันว่า ภายหลังสำเร็จอรหันต์ ได้ดวงตาและพระกรคืน เคยแสดงปาฏิหารย์เป็นปางกวนอิมพันมือ องค์หญิงเมี่ยวซ่านนั้น ตอนแรกเป็นชาวพุทธ ตอนหลังเทพไท่ไป๋ได้มาโปรด ชี้แนะหนทางดับทุกข์ เหตุนี้พระโพธิสัตว์กวนอิมจึงเป็นเทพทั้ง


โต๊ะทำงานของผู้บริหารตามหลักฮวงจุ้ย

มาถึงเรื่องการวางโต๊ะทำงานของผู้บริหารตามหลักฮวงจุ้ยจึง ซึ่งมีสิ่งที่ควรทำและไม่ ควรทำดังนี้ครับ
  1.  ด้านหลังของผู้บริหาร คือทิศของเต่าดำ จึงต้องหนักแน่นมั่นคง ควรเป็นกำแพงที่แน่นหนา ไม่ควรเป็นกระจกหรือหน้าต่างบานใหญ่ ถ้ามีรูปภาพติดผนังควรเป็นรูปที่แสดง ถึงความมั่นคง เช่น ภูเขา เป็นต้น
  2. การวางโต๊ะของผู้บริหารควรวางใน ลักษณะทแยงมุมกับประตูห้อง ไม่ว่าจะหันโต๊ะไปในทางไหนก็ตาม เราะตำแหน่งนี้สามารถมองเห็นผู้มาเยือนได้อย่างชัดเจน
  3. การวางโต๊ะผู้บริหารในลักษณะทแยงกับห้องทำให้เกิดลักษณะมงคลของรูปปากัว ซึ่งจะส่งผลให้กิจการประสบความสำเร็จ
  4. ห้ามวางโต๊ะทำงานของผู้บริหารตรงกับประตูทางเข้าออกของห้อง เพราะจะได้รับผล ร้ายจากพลังชี่พิฆาต และการหันหลังให้ประตูคือการเรียกหาความเดือดร้อน จะพบแต่อุปสรรคหรือภัย พิบัติ หากฝ่าฝืนกิจการค้าจะไม่เจริญรุ่งเรือง ทำให้ผู้บริหารจะประสบความล้มเหลวได้ง่าย
  5. โต๊ะทำงานผู้บริหารไม่ควรหันหลังให้กับประตูทางเข้า เพราะตำแหน่งด้านหลังของผู้บริหารเป็นตำแหน่งประธาน ถ้าด้านหลังโหว่ย่อมส่งผลให้ขาดผู้สนับสนุนช่วยเหลือ ทำให้ผู้บริหารล้มเหลวขาดซึ่งบารมี
  6. การจัดวางตำแหน่งโต๊ะของผู้บริหารต้องเลือกทิศที่ไม่มาพิฆาตผู้นั่ง เช่น เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วเห็นสิ่งแหลมคม ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ควรแก้ เคล็ดด้วยการปิดม่าน
  7. ในกรณีที่ผู้บริหารต้องนั่งรวมกับพนักงานในห้องเดียวกัน ตำแหน่งของโต๊ะผู้บริหารต้องอยู่ด้านหลังของพนักงานเสมอ และขนาดของโต๊ะของผู้บริหารต้องใหญ่กว่าโต๊ะของพนักงานเพื่อสร้างความแตกต่าง
  8. ในกรณีที่ผู้บริหารต้องนั่งรวมกับ พนักงานในห้องเดียวกัน ผู้บริหารไม่ควรนั่งหันประจันหน้ากันกับโต๊ะพนักงาน เพราะจะสร้างแรงกดดัน ให้เกิดขึ้นกับทั้งสองฝ่าย
  9. ถ้าสำนักงานมีลักษณะเป็นพื้นที่เปิดโล่ง ห้องผู้บริหารควรมีฉากกั้นเป็นห้องแยกเป้นสัดส่วน ไม่ควรอยู่ปะปนกับพนักงาน ทั่วไป เพราะจะส่งผลให้ผู้บริหารไม่ได้รับความสนจากพนักงานเท่าที่ควร และในกรณีที่ผู้บริหารมีตำแหน่งหน้าที่ในระดับเดียวกันก็ควรจัดห้องและโต๊ะ ทำงานให้อยูในระดับเดียวกันด้วย
  10. นอกจากนั้นถ้าผู้บริหารสูงสุดนั่งอยู่ในห้องรวมดังในข้อ 8. ควรกั้นห้องของผู้บริหารสูงสุดแยกออกจากกันเป็นต่างหากเพื่อให้เห็นเด่นชัด และควรอยู่ในตำแหน่งด้านในสุดของห้อง เพื่อสร้างลักษณะของตำแหน่งประธารให้ชัดเจน
  11. โต๊ะทำงานผู้บริหารไม่ควรวางอยู่ในตำแหน่งที่ตรงเหลี่ยมมุมของเสาห้องที่ พุ่งมายังโต๊ะ ไม่ว่าด้านหน้าหรือด้านหลัง เพราะเป็นตำแหน่งชี่พิฆาตโดยตรง
  12. การวางโต๊ะทำงานจะต้องเลือกทิศที่ไม่มาพิฆาตผู้นั่ง ( รายละเอียดดูเพิ่มเติมในบทความเรื่อง การตั้งโต๊ะทำงานผู้บริหารตามหลักฮวงจุ้ยสำนักเข็มทิศ )
  13. ด้านหลังของโต๊ะทำงานของผู้บริหารไม่ควรจะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ถ้าจะมีควรวางอยู่ในตำแหน่งด้านข้างจึงจะถือว่าดี และควรหมั่นดูแลอยู่เสมอ อย่าให้ขาด เพราะการสักการบูชาอยู่เสมอย่อมเป็นมงคลแก่ชีวิต ผู้บริหารที่มีสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์แล้วปล่อยปละละเลยไม่ดูแลเอาใจใส่ย่อมทำให้กิจการนั้นขาดซึ่ง บารมี
 

 

30 ลิขิตฟ้า 70 ต้องฝ่าฝัน

ชีวิตของคนที่ดำเนินไปนั้น ถูกเสริมด้วยปัจจัยหลาย ๆ สิ่ง หลาย ๆ อย่าง บางครั้ง คุณคิดว่า คุณได้ทำทุกอย่างดีที่สุดแล้ว แต่ก็ยังมีเรื่องติดขัดอยู่อีก อาจจะเป็นเพราะว่า มีปัจจัยที่คุณยังนึกไม่ถึงอยู่ก็ได้ การแก้ปัญหาด้วยฮวงจุ้ย เป็นหนึ่งเรื่องที่คุณอาจจะต้องหันกลับมามอง เราไม่ได้เสนอให้คนงมงายนะครับ แต่คุณคงเคยได้ยิน 30 ลิขิตฟ้า 70 ต้องฝ่าฝันครับ ลองดูไม่เสียหลายนะครับ ถ้าใช้แล้วได้ผล อย่าลืมบอกต่อกันไปครับ

  1. สามี-ภรรยามักทะเลาะเบาะแว้ง
วิธีแก้เคล็ดฮวงจุ้ย: หาเตียงทรงขอบมนมาใช้ อย่าใช้เตียงสี่เหลี่ยมที่มีมุมขอบเตียงเป็นมุมแหลมคม ถ้าเตียงมีขนาดใหญ่ก็ต้องใช้ ที่นอนขนาดใหญ่ อย่าใช้ฟูกหรือที่นอน 2 ชิ้นมาวางชิดกันการใช้เตียงทรงกลม หรือเตียงขอบมนจะขจัดปัญหาการกระทบ กระทั่งของคู่สมรส ทำให้มีความรักใคร่กลมเกลียวกันมากขึ้น
  1. ความสัมพันธ์ไม่งอกงาม
 วิธีแก้เคล็ดฮวงจุ้ย: หลายคู่อยู่กันหลายปียังมีแต่เรื่องไม่เข้าใจกัน ความสัมพันธ์ยังคลุมครือไม่ผูกพันแน่นแฟ้ม เมื่อตรวจดูริมหน้าต่าง ห้องนอนก็เห็นต้นไม้ยืนแห้งเหี่ยว ดังนั้นต้องแก้ไขด้วยการตัดไม้ยืนต้นที่บริเวณหน้าบ้านและริมหน้าต่างห้อง นอนออกเสีย ตามบริเวณหน้าบ้านและริมหน้าต่างห้องนอน ต้องปลูกต้นไม้ ดอกไม้ที่มีใบสมบูรณ์หรือมีดอกสวยงามและมีกลิ่นหอม จึงจะ ส่งผลให้คู่สามี- ภรรยามีความรักและเข้าอกเข้าใจกันได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
  1.  การงานไม่ก้าวหน้า
 วิธีแก้เคล็ดฮวงจุ้ย:
ให้ตั้งโต๊ะทำงานไว้ยังตำแหน่งโชค คือจุดที่เป็นเส้นทแยงมุมกับประตูห้อง ตั้งโต๊ะให้อยู่ตรงมุมด้านใน เมื่อ ทำงานสามารถมองเห็นประตูและผู้เข้า-ออกได้สะดวก เก้าอี้ต้องหันผิงผนังหรือหรือตู้เอกสาร จะได้มีความมั่นคงในตำแหน่ง มีอำนาจบารมีและมีแต่ความเจริญก้าวหน้า
  1.  ขาดเกียรติยศชื่อเสียง
 วิธีแก้เคล็ดฮวงจุ้ย:
ให้หันหัวเตียงไปทางทิศใต้ การตั้งโต๊ะก็ให้ตั้งโต๊ะในจุดที่เป็นทิศใต้ แล้วหันหน้าไปสู่ทิศเหนือหรือตะวันออกก็ได้
 การตั้งโต๊ะในทิศใต้หรือหันหัวเตียงไปทางทิศใต้ จะช่วยให้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานได้อย่างงดงาม จะอุดมด้วย เกียรติยศและชื่อเสียง ชีวิตมีแต่ความรุ่งโรจน์โชติช่วงในทุกด้าน
 เย็นนี้ ขอเสนอเรื่องการแก้ปัญหาด้วยฮวงจุ้ย บางทีอาจจะมีเรื่องที่คุณต้องการคำตอบอยู่ก็ได้ครับ
  1. ความรักง่อนแง่น
 วิธีแก้เคล็ดฮวงจุ้ย:
ให้ปลูกไผ่หรือไม้ยืนต้นอื่น ๆ ที่มีใบสดเขียวอุดมสมบูรณ์ดี ปลูกเป็นแนวริมรั้วหน้าบ้านและข้างบ้านให้ครึ้ม
 ยิ่งถ้าเมื่ออยู่นอกบ้านแล้วมองเข้ามาไม่ค่อยเห็นตัวบ้านได้ถนัดยิ่งถือว่า ดี จะส่งผลให้คู่สามี-ภรรยารักใคร่ผูกพันมั่นคง ฐานะความเป็นอยู่ในบ้านก็จะมั่งมีศรสุข
  1. คู่สามี-ภรรยา ไม่รวย
 วิธีแก้เคล็ดฮวงจุ้ย:
ให้หาบ้านที่มีลักษณะอยู่บนเนิน หรือบนพื้นที่ที่มีความสูงกว่าพื้นถนนทั่วไปสักพอประมาณ ถ้าอาศัยอยู่ในบ้าน เช่นนี้จะส่งผลให้ดวงชะตาดี มีฐานะมั่งคั่งร่ำรวยได้เร็ว ทำกิจสิ่งใดก็จะสำเร็จราบรื่นได้ดี ความสัมพันธ์ของคู่สามี-ภรรยามั่นคง ยืนนานอีกด้วย
 ถ้าหาบ้านอยู่อาศัยในลักษณะนี้ไม่ได้ ก็ให้ขุดสระน้ำปลูกบัวทางซ้ายมือของตัวบ้าน (ยืนอยู่ในบ้าน หันหน้าออกไปทางหน้าบ้าน)
  1. ชีวิตแห้งแล้ง
 ความเป็นอยู่ในบ้านมิได้ลำบากมาก แต่จิตใจแห้งแล้งขาดชีวิต ชีวา บางครั้งเงินทองก็ติดขัด ไม่ราบรื่น คนในบ้านไม่มีความสดชื่น กระตือรือร้น
 วิธีแก้เคล็ดฮวงจุ้ย:
ให้เลี้ยงปลาตู้สวยงามประดับบ้าน เลือกให้มีปลาเงิน-ปลาทอง ร่วมด้วยยิ่งดี จำนวนปลาที่จะเลี้ยงควรเป็น 6 ตัว 8 ตัว หรือ 9 ตัว ถือว่าเป็นมงคล คนในบ้านจะมีจิตใจแจ่มใสขึ้น ฐานะการเงินก็จะดีขึ้น มีโชคมีลาภไม่ขาด แต่ต้องดูแลตู้ปลา ให้สะอาดสดใสอยู่เสมอ
  1. มีบางอย่างถ่วงความเจริญ
 วิธีแก้เคล็ดฮวงจุ้ย:
ให้จัดวางข้าวของเครื่องเรือนเป็นระเบียบเรียบร้อย อย่าให้มีข้าวของเครื่องเรือนเครื่องใช้ต่างๆ วางรกระเกะระกะ โดยเฉพาะส่วนที่เป็นทางเดินไปมาภายในบ้านควรจัดให้กว้างขวางสามารถเดินไปมา ได้สะดวก ไม่อึดอัดเพราะมีสิ่งกีดขวาง
 ที่ว่าทางเดินต้องปัดกวาดให้สะอาดอยู่เสมอ ข้าวของเครื่องเรือนมีน้อยชิ้นยิ่งดี สิ่งของรก ๆ ให้เก็บใส่กล่องเสีย เพื่อให้ฐานะ ความเป็นอยู่มีความเจริญรุ่งเรือง โชคลาภเข้าบ้านไม่ขาด ทำอะไรก็ราบรื่นปลอดโปร่งดีเหมือนไม่มีอะไรมาฉุดรั้งหรือถ่วง ความเจริญไว้ เพราะจุดแห่งโชคทรัพย์ไม่ถูกปิดบัง


 

การจัดหิ้งบูชาตามหลักฮวงจุ้ย

การจัดหิ้งบูชาตามหลักฮวงจุ้ย


ในการจัดหิ้งบูชาก็ต้องดูให้เหมาะสมกับดวงชะตาเช่นกัน และจะต้องดูแลให้สะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อย เพราะหากดูแลไม่ดีแล้ว สิ่งที่เป็นสิริมงคลของบ้าน ก็อาจกลายเป็นสิ่งอัปมงคลได้เช่นกัน โดยวิธีการจัดหิ้งบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีข้อแนะนำเพิ่มเติมดังนี้ครับ
  1. หิ้งบูชาต้องสะอาดอยู่เสมอ หากปล่อยให้หิ้งบูชาสกปรก คนในบ้านจะเจ็บป่วย และทำมาค้าไม่ขึ้น ควรหมั่นเปลี่ยนน้ำเปล่า และดอกไม้สดที่บูชาเป็นประจำ อย่าปล่อยให้ดอกไม้แห้งเฉาคาที่ เพราะจะทำให้คนในบ้านมีชีวิตที่ไม่ค่อยมั่นคงนัก
  2. หิ้งพระต้องไม่อยู่เหนือประตูซึ่งเป็นช่องทางเดินเข้า-ออก ถ้าจัดตั้งหิ้งพระในมุมที่พลุกพล่าน คนในบ้านจะมีแต่ความวุ่นวาย
  3. หิ้งบูชาพระไม่ควรหันหน้าตรงกับประตูห้องน้ำ หรือห้องครัว มิเช่นนั้นคนในบ้านจะเจ็บป่วย มีแต่เรื่องขัดแย้ง เงินทองรั่วไหล
  4. ถ้าพักอาศัยอยู่ในอพาร์ทเม้นท์หรือคอนโด ควรตั้งหิ้งพระให้สูงกว่าระดับศีรษะ เพราะหากตั้งหิ้งพระต่ำกว่าศีรษะ จะทำให้คนในบ้านไม่เจริญก้าวหน้า อาชีพการงานเติบโตช้า และจะถูกลดตำแหน่งงานลง
  5. หากตั้งหิ้งบูชาขนาดใหญ่ จำนวนองค์พระหรือองค์เทพบนหิ้งควรมีจำนวนเป็นเลขคี่ เช่น 1,3,5,7,9 องค์ ทั้งหลักฮวงจุ้ย และความเชื่อของไทยก็ล้วนระบุว่าไม่นิยมให้เป็นจำนวนเลขคู่
  6. ไม่ตั้งหิ้งบูชาไว้ใต้คาน มิเช่นนั้นดวงชะตาคนในบ้านจะถูกกดทับ ทำให้เจริญรุ่งเรืองยาก และมักมีเรื่องให้ปวดหัวอยู่เสมอ
  7. ไม่ควรมองเห็นหิ้งพระได้จากนอกบ้าน เพราะจะถือว่าการตั้งหิ้งพระไม่อยู่ในมุมสงบ หรือเป็นสัดส่วน แต่ถ้าเป็นร้านที่ประกอบธุรกิจค้าขายถือว่าไม่เป็นไร
เป็น อย่างไรกันบ้างครับ กับข้อมูลตามหลักของฮวงจุ้ย ทั้งการกำหนดตำแหน่งห้องพระภายในบ้าน คำแนะนำในการวางพระ รวมถึงการดูแลหิ้งพระด้วย แต่ทั้งนี้ผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้าน ก็ควรทำการสักการะบูชาพระอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ รวมถึงควรทำจิตใจให้สงบ เพื่อให้ทุกคนภายในบ้าน สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างเป็นสุข จนเรียกได้ว่า สุขทั้งกาย สุขทั้งใจ กันเลยยังไงล่ะครับ



การจัดที่บูชาพระ

การจัดที่บูชาพระ ได้มีการเน้นย้ำในเรื่องตำแหน่งที่ไม่เหมาะสม ดังนี้
  1. ไม่ควรตั้งพระในห้องนอน โดยเฉพาะคนที่มีคู่แล้ว แต่หากจำเป็นควรใช้ฉากกั้นให้เป็นสัดส่วน
  2. ไม่ควรตั้งหิ้งพระตรงบันได หรือใต้บันได
  3. ไม่ควรตั้งหิ้งพระอยู่ใต้คาน
  4. ไม่ควรตั้งห้องพระหรือหิ้งพระอยู่เหนือห้องน้ำ
  5. ห้ามแขวนหิ้งพระกับผนังห้องน้ำ

การเลือกตำแหน่งห้องพระ
เรื่องของความเชื่อเข้ามาเกี่ยวข้อง ดังเช่น ตามหลักฮวงจุ้ยได้พิจารณาห้องพระในแง่ของพลังงานธรรมชาติว่า การจุดธูปเทียนบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทำให้ห้องพระเป็นห้องมีพลังธาตุไฟมากกว่าปกติ ดังนั้น ในการกำหนดตำแหน่งของห้องพระจึงต้องพิจารณา ดังนี้
  1. ห้องพระควรเป็นห้องชั้นบนสุดของบ้าน เพราะพระเป็นของสูง การวางต่ำกว่าคนในบ้าน หากมีการเดินข้าม นอนคร่อม หรือหันปลายเท้าเข้าหาพระ ย่อมไม่เป็นมงคล ทั้งนี้การเลือกตั้งห้องพระไว้ชั้นล่าง ก็สามารถทำได้เช่นกัน แต่จะมีข้อจำกัด เช่น ต้องพิจารณาว่าห้องที่อยู่ชั้นบนเหนือห้องพระ เป็นห้องน้ำ และห้องนอนหรือไม่ ถ้าใช่ก็ไม่เหมาะสม ดังนั้นจึงควรจะเป็นห้องว่าง ที่ไม่มีคนอยู่จะดีกว่า
  2. ห้องพระควรอยู่ในตำแหน่งที่มีการระบายอากาศได้ดี เพราะการบูชาพระ จะต้องจุดธูป เทียน หากเป็นตำแหน่งที่อากาศถ่ายเทสะดวก จะทำให้ไม่รบกวนสมาธิของผู้ปฎิบัติธรรม อีกทั้งยังช่วยลดอันตรายจากควันไฟและเปลวเทียนไม่ให้ไหม้บ้านได้อีกด้วย
  3. ห้องพระต้องอยู่ในบริเวณที่สงบ เป็นมุมที่ไม่มีผู้คนพลุกพล่าน และตามหลักฮวงจุ้ย ตำแหน่งหน้าบ้าน ถือเป็นตำแหน่งโชคลาภ ส่วนตำแหน่งหลังบ้าน ถือเป็นตำแหน่งบารมี การจัดฮวงจุ้ยห้องพระจึงควรเลือก 2 ตำแหน่งดังกล่าว จะช่วยเสริมพลังบวกได้มากที่สุด
  4. ห้องพระควรหันทิศไปทางตะวันออก หรือทิศเหนือ ซึ่งเป็นทิศมงคล หากไม่สามารถเลือกตำแหน่งห้องพระในทิศตะวันออก และทิศเหนือได้ ให้ตั้งหิ้งพระ และองค์พระหันหน้าไปทางทิศนั้น ๆ แทน
  5. ห้องพระที่ติดกับห้องนอน ต้องระวังเรื่องการวางเตียงหันปลายเท้าไปหาห้องพระ และกรณีที่หันหัวเตียงไปที่ห้องพระ ต้องพิจารณาว่า ตำแหน่งขององค์พระ หรือโต๊ะหมู่บูชาติดกับหัวเตียงหรือไม่ เพราะถ้าติดกัน เมื่อนอนบนเตียงอาจได้รับอิทธิพลของธาตุไฟ ทำให้ปวดหัวง่าย หรือนอนไม่ค่อยหลับ
  6. ห้องพระไม่ควรติดกับห้องน้ำ เพราะในหลักฮวงจุ้ย ห้องน้ำถือว่าเป็นธาตุน้ำ ส่วนห้องพระถือว่าเป็นธาตุไฟ ตามกฎเบญจธาตุ (ธาตุทั้ง 5) ธาตุน้ำนั้นจะพิฆาตธาตุไฟ ถ้ามีความจำเป็นจะต้องวางห้องพระติดกับห้องน้ำ ควรหาตู้มาพิงผนังห้องน้ำ แล้วหันพระไปทางทิศอื่น ไม่เช่นนั้นความศักดิ์สิทธิ์ขององค์พระจะเสื่อม เพราะถูกพลังของธาตุน้ำบั่นทอน
  7. ในทางฮวงจุ้ยเชื่อว่าร้านค้าไม่ควรนำสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้คนภายนอกเห็น เพราะจะมีคนแกล้งนำของสกปรกมาทำลายสิ่งศักดิ์สิทธ์ แต่ในกรณีที่บ้านเล็ก มีพื้นที่จำกัด สามารถเลือกจัดที่บูชาพระ ในจุดที่เหมาะสม โดยใช้หลักเกณฑ์เดียวกับการเลือกตำแหน่งของห้องพระได้เช่นกัน



     

หลักของฮ้วงจุ้ย

สวัสดีวันอังคารนะครับ วันทำงานในสัปดาห์ครับ
สำหรับเรื่องน่ารู้วันนี้ ขอเสนอเรื่อง ปัจจัย 9 ประการ ของทำเลที่ดี เอาใจผู้ประกอบธุรกิจครับ
  1. ทำเลนั้น ต้องสร้างได้ หมายถึง เป็นที่ผลิตสินค้า หรือ เป็นที่พักผ่อน นอนหลับได้ อย่างใดอย่างหนึ่ง เช่นเรามีร้านค้าขาย ก็ควรผลิตสินค้าในพื้นที่ร้านนั้นๆ ได้ ถ้าหากทำไม่ได้ เราก้ต้องจัดให้มีมุมพักผ่อน งีบหลับได้บ้าง อันนี้ ถือว่าสะสมปราณได้
  2. ทำเลนั้น ต้องมีคน ผ่านไปมา ทั้งด้านหน้า ด้านหลัง ทางใดทางหนึ่งเป็นอย่างน้อย เพื่อให้ปราณที่สะสมไว้ไหลไปได้ อันนี้ นำไปใช้จริงๆ ก็ดูพื้นที่มีคนเดินผ่านบ้าง ถ้าคนไม่เดินผ่านเลย เจ๊งแน่ เช่นหลายคนมีไอเดียเปิดร้านเสริมความงามแบบสปาบนภูเขา ตั้งอยู่ในพื้นที่ๆไม่มีใครผ่านไปมา นอกจากตั้งใจขับรถขึ้นเขามาสปา อันนี้ ถือเป็นทำเลที่คน:)ไปไม่ผ่าน เสี่ยงเจ๊งเป็นที่สุด
  3. ทำเลนั้น ต้องมีเพื่อนบ้าน ทำการค้าอยู่บ้าง หรือ มีที่อยู่อาศัยอยู่ในละแวกด้วย เพื่อให้กระแสปราณสามารถทวนกลับได้หลายรอบชั้น แปลเข้าใจง่ายๆ ก็คือ อยู่ในที่ชุมชนที่คนเขาอยู่กัน อย่าไปอยู่ไกลผู้คน
  4. ทำเลนั้น ต้องมีสีแดงเข้ม แปลเข้าใจง่าย คือ ต้องมีคนในสายเลือด ญาติ พี่น้อง พักอาศัยหรือทำการค้าอยู่ในละแวกด้วย เพื่อให้ปราณที่ถดถอยของเรา ถูกฟื้นฟูจากปราณของญาติ ตรงนี้ ลองดูตัวอย่าง ธุรกิจที่เครือญาติทำกันช่วยกันอย่างรักใคร่ จะมีกิจการที่มั่นคงมาก และ มักจะไม่ขยายทำเลไปไกลกันนัก ยังคงปักหลักสยายปีกธุรกิจต่อไป ในเชิงกว้าง
  5. ทำเลนั้น ต้องสงเคราะห์ได้ แปลว่า ต้องสามารถจ้างงานได้ มีคนทำงานให้เรา มีคนว่างงาน คนหางาน สามารถเข้ามาช่วยเราทำงานได้ เพื่อให้เราเติบโตได้ ปกครองได้ สงเคราะห์ได้
  6. ทำเลนั้น แผ่นดินต้องสั่นสะเทือน หมายถึง มีการเปิดๆ ปิดๆ ของร้านค้า อยู่ตลอดเวลา ร้านนี้มาทำการค้า เห็นอยู่ไม่นาน ก็เจ๊งเลิกไป ร้านใหม่มา ทำธุรกิจอีกอย่าง อยู่ได้ นานหน่อย แต่สุดท้ายก็เลิก เปลี่ยนอีก อะไรแบบนี้ เพราะพลังธาตุลักษณะนี้ จะมีจังหวะเสริมและจังหวะเสื่อมที่ดี คือมีความหมุนไปเรื่อยๆ หากเข้าจับจังหวะที่ดี ก็จะร่ำรวยได้ เรื่องจังหวะนี้ เป็นเรื่องสำคัญทีเดียวครับ ในวิชาดวงขุมทรัพย์ของเรา เน้นสอนเรื่องนี้โดยเฉพาะ ว่าตอนไหนเดือนไหน ควรทำอะไร เดินเกมธุรกิจอย่างไร ตามแผนที่ดวง ตามจังหวะชีวิตของตัวเราเอง
  7. ทำเลนั้น ต้องรวมได้ อันนี้ดูเข้าใจง่ายขึ้นนิด คือทำเลนั้น ต้องสามารถขยายร้าน หรือ ซื้อพื้นที่ด้านข้างซ้ายขวาออกไปอีกได้ รวมกำลังให้กิจการใหญ่โตขึ้นได้ 
  8. ทำเลนั้น ต้องพร้อมจะตาย อันนี้ ฟังดูน่ากลัวนะครับ แต่ไม่ต้องกังวล ความหมายของมันคือ พร้อมที่จะตัดพื้นที่บางส่วนออก ที่ไม่ใช้ ปล่อยเช่า หรือ ตัดขายออกไป แบบนี้ ทำเลที่ดีจะต้องรักษาแกนพื้นที่หลักไว้ได้ หากจำเป็นก็สามารถตัดพื้นที่เสริมออกได้ด้วย
  9. ทำเลนั้น จะต้องใกล้กับสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เพื่อสะสมรับพลังปราณบริสุทธิ์ ที่หาจากมนุษย์ และ :)ไม่ได้ นั้นคือ บุญกุศล และ รังสีดีๆ ของเหล่าเทวดาที่มาออรวมกันอยู่ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ใกล้นี้ไม่ต้องถึงกับ บ้านติดกัน เอาเป็นเป็นช่วงเวลา ๑ ทวาร (3 ชั่วโมง) เราสามารถเดินทางไปถึงได้ ก็ถือว่าโอเคแล้ว แต่ถ้าได้ใกล้มากๆ ก็ยิ่งดี
 

ชาจีน



จีนบ้านเกิดของใบชา จากรายการวัฒนธรรมจีน China Radio International thai.cri.cn
สวัสดีค่ะ ท่านผู้ฟังที่เคารพ จีนเป็นบ้านเกิดของใบชา ชาวจีนเป็นผู้พบต้นชารายแรกของโลก มีหลักฐานว่า ต้นชาป่าที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดของโลกอยู่ที่ภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีน รายการวันนี้ ดิฉันขอเสนอเรื่อง "จีน---บ้านเกิดของใบชา" ให้ฟังค่ะ
 
เล่ากันว่า ย้อนไปถึงเมื่อกว่า 5,000 ปีก่อน พระจักรพรรดิเอี๋ยนตี้ของจีน ผู้ซึ่งเป็นนักชิมยาสมุนไพรต่างๆ นับร้อยอย่าง วันหนึ่งโดนพิษ 72 อย่าง โชคดีที่ได้แก้พิษด้วยชาในที่สุด สมัยราชวงศ์ซีโจวหรือโจวตะวันตก (ปี 1066-771 ก่อนคริสต์ศักราช) ได้เกิดธุรกิจชาขึ้น ซึ่งถือเป็นธุรกิจชาที่เก่าแก่ที่สุดของจีน สมัยพระเจ้าโจวอู่หวังนั้น นครรัฐต่างๆ ที่อยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้เคยส่งใบชาเป็นบรรณาการไปให้แก่พระเจ้าแผ่นดิน เวลานั้น ผู้คนรู้จักแต่เพียงนำชาไปเป็นอาหารประเภทผักเท่านั้น ต่อมาในสมัยชุนชิวจั้นกั๋ว ผู้คนเริ่มรู้จักนำชาไปเป็นอาหารประเภทน้ำดื่ม ส่วนวิธีการเพาะปลูกต้นชา กรรมวิธีการแปรรูปใบชาและวิถีการชงชาก็ค่อยๆ นำไปเผยแพร่สู่เขตพื้นที่ลุ่มแม่น้ำแยงซีตอนกลางและตอนปลายตลอดจนเขตพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงใต้ เป็นต้น
 
เมื่อเวลาเลยมาถึงสมัยราชวงศ์ฮั่น (ปี 206 ก่อนคริสต์ศักราช-ปีคริสต์ศักราช 220) การดื่มชาได้กลายมาเป็นประเพณีของชนชั้นปัญญาชนและชนชั้นขุนนาง นับจากนั้นมาก็ได้ปรากฏเอกสาร/จดหมายเหตุเกี่ยวกับเรื่องประเพณีการดื่มชาขึ้น โดยฉบับที่มีประวัติเก่าแก่ที่สุดคือ กาพย์กลอนเรื่อง "ถงเยว์" ผู้แต่งคือ หวังเป่า กวีราชวงศ์ฮั่น สมัยนั้น ใบชาจากมณฑลเสฉวนเป็นบรรณาการจิ้มก้องถึงนครฉางอันพระราชธานี กลายเป็นเครื่องดื่มสำหรับพระบรมวงศานุวงศ์และขุนนางชั้นสูง ในช่วงดังกล่าว มีการเปิด "เส้นทางแห่งใบชา" ในทางทะเลขึ้น คือ ทูตของพระเจ้าฮั่นอู่ตี้จะออกเดินทางโดยเรือจากมณฑลกวางตุ้ง นำของฝากต่างๆ ไปยังประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้ ในนั้นก็มีใบชาด้วย ด้วยเหตุนี้ คำเรียก "ชา" ในประเทศต่างๆ ที่รับใบชาจากจีนจึงมีความเป็นมาจากคำเรียกชาตามภาษาฮกเกี้ยนของจีน และการดื่มชาในทั่วโลกล้วนมีแหล่งกำเนิดจากจีน

หนังสือทางประวัติศาสตร์ที่มีส่วนเกี่ยวกับการผลิตชาและการดื่มชาที่เก่าแก่ที่สุดของจีนคือ เรื่อง "กว๋างเอี่ย" ของสมัยสามก๊ก ผู้แต่งคือ จังอี หนังสือดังกล่าวบันทึกไว้ว่า จะนำใบชาไปทำเป็นรูปเปี๊ยะ ป่นให้ละเอียด แล้วนำใส่ลงเครื่องเคลือบ ราดน้ำร้อนที่ต้มไว้ และปรุงรสด้วยต้นหอมและขิงอีกที นอกจากนี้ หนังสือดังกล่าวยังบอกให้ผู้คนรู้ถึงสรรพคุณของชาว่า ใบชามีสรรพคุณในการ "แก้พิษสุราและแก้ง่วงนอน" ส่วนหนังสือเรื่อง "ทฤษฏีว่าด้วยอาหารการกิน" โดยฮว่าโถว (Hua Tuo) แพทย์ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า "การดื่มชาขมเป็นเวลานานจะเป็นประโยชน์ต่อการคิดการไตร่ตรอง" จากนี้สามารถเห็นได้ว่า การดื่มชาของผู้คนในสมัยนั้นยังให้ความสนใจกับคุณค่าด้านความเป็นยาของใบชาอีกด้วย
เริ่มตั้งแต่สมัยซีจิ้น (ปีคริสต์ศักราช 265-317) การดื่มชาพร้อมกับการพูดคุยได้กลายมาเป็นเรื่องแฟชั่น กระทั่งเป็นสัญลักษณ์แห่งจิตใจงดงามและมีคุณธรรมสูงส่ง ส่วนการรับรองแขกด้วยชาและผลไม้ก็กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความเรียบง่ายและความไม่สุรุ่ยสุร่าย
สมัยหนันเป่ย์เฉา (ปีคริสต์ศักราช 420-589) พระเจ้าฉีอู่ตี้ได้เปิด "เส้นทางแห่งใบชา" ในทางบกขึ้น โดยนักธุรกิจตุรกีในสมัยนั้นจะนำใบชา สิ่งทอและเครื่องเคลือบจากจีนขนส่งไปยังตุรกีโดยทางบก แล้วค่อยนำไปสู่ดินแดนอื่นๆ ต่อ เช่น เปอร์เซียและอาหรับ เป็นต้น

ท่านใดมีความรู้เรื่องเกี่ยวกับใบชา หรือวิธีชงชาอย่างไร ช่วยกันนำเสนอถ่ายทอด ไว้ให้คนรุ่นใหม่ได้ทราบกัน คงจะดีไม่น้อย

10 ยอดชาจีน
น้ำชา เป็นเครื่องดื่มที่อยู่คู่กับชาวจีนมานานหลายพันปี คนจีนค้นพบใบชา และใช้ประโยชน์จากใบชา โดยแรกเริ่ม พวกเราชาวจีนได้เริ่มเก็บเอาใบชาป่ามาทำยารักษาโรค ภายหลังจึงได้นำมาอบแห้ง แล้วชงเป็นเครื่องดื่ม และพัฒนามาเป็นน้ำชาแต่ละประเภท ชาวจีนได้ทำการปลูกต้นชามาตั้งแต่ในสมัย ชุนชิว-จ้านกว๋อ (รณรัฐ=สงครามระหว่างรัฐ) มาในสมัยราชวงศ์ฉิน ถึงราชวงศ์ฮั่น การปลูกต้นชาเริ่มมีตามแนวมณฑลเสฉวน ลงมาถึงมณฑลหยุนหนาน มาถึงสมัยราชวงศ์ถัง การปลูกชาได้กระจายไปในแต่ละมณฑลตามแถบลุ่มแม่น้ำฉางเจียง (แยงซีเกียง)
ในแต่ละสมัยของอาณาจักรจีน ชาวจีนล้วนยิ่งมีประสบการณ์ในการปลูก การผลิตใบชา การเก็บรักษา และการชงดื่มไปอย่างกว้างขวาง จนกระทั่งได้มีการบันทึกเป็นตำราฉบับหนึ่ง ที่มีชื่อเสียงมาก ในสมัยราชวงศ์ถัง เมื่อปี ค.ศ.780 คือตำรา "ฉาจิง" ซึ่งว่าด้วยเรื่องใบชา โดยผู้เขียนคือ "ลู่ยวี่" บรมครูด้านใบชาในสมัยนั้น และตำรานี้ได้ตกทอดมาจนกระทั่งถึงสมัยปัจจุบัน
ชาจีนมีมากมายหลายประเภท แต่ถ้าแยกประเภทตามชนิดของสีในน้ำชา จะพบว่ามี ชาแดง ชาดำ ชาเขียว และ ชาขาว ชาแดง เป็นน้ำชาสีเข้มข้น แดงเหมือนเลือดนก กรรมวิธีการผลิตต้องใช้กระบวนการหมัก บางครั้งจึงเรียกว่า ชาหมัก ชาดำ เป็นชาที่เกิดขึ้นในภายหลัง ใช้ใบชาค่อนข้างแก่ มาหมัก แล้วบดเป็นชาผง ชาดำนี้เป็นที่นิยมของชาวอังกฤษซึ่งได้นำชาจีนไปเผยแพร่ในทวีปยุโรป แล้วดื่มผสมนม และน้ำตาล จึงมักเรียกว่า ชาฝรั่ง ชาเขียว เป็นชาที่นำยอดชาอ่อน มาผึ่งแดด แล้วอบแห้งในทันทีโดยไม่ได้ผ่านกระบวนการหมัก น้ำชาที่ได้จึงมีสีเขียวสดใส ชาขาว ชาวจีนได้นำตาอ่อนของยอดชา กับ ใบชาอ่อน ๆ หลาย ๆ ชนิด มาอังกับเตาไฟให้แห้งสนิท น้ำชาที่ได้จึงมีสีขาว ปัจจุบัน ในประเทศจีนมีผลิตภัณฑ์จากชามากมายหลายชนิดต้นชาส่วนใหญ่ในประเทศจีนส่วนมากนิยมปลูกกันตามแถบตอนใต้ของแม่น้ำฉางเจียงลงมา ไหงได้รวบรวมสุดยอดชาจีนทั้งหมดที่ชาวจีนในประเทศจีนนิยมชมชอบและมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักอยู่ 10 ชนิด โดยแต่ละชนิดเป็นชาที่มีชื่อเสียงโดดเด่นในแต่ละมณฑล โดยมณฑลที่มีชาเลื่องชื่ออยู่มากที่สุดคือ ฝูเจี้ยน

10 ยอดชาจีนที่เลื่องชื่อลือชา มีดังนี่
  1. ชา "ฉีเหมิน" ตั้งชื่อตามเมืองฉีเหมิน มณฑลอานฮุย ซึ่งเป็นแหล่งผลิต ชาฉีเหมินจัดว่าเป็นชาชนิดเข้มข้น ดื่มแล้วชุ่มฉ่ำ หอมติดปากติดคอ ชาวจีนในปักกิ่งนิยมดื่มชาฉีเหมินนี้มาก
  2. ชา "หลงจิ่ง" หรือสระมังกร แห่งทะเลสาปซีหู เมืองหางโจว มณฑลเจ๋อเจียง ชาหลงจิ่งเป็นชาเขียว ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด น้ำชาหลงจิ่งมีสีเขียวเหมือนมรกต ชาหลงจิ่งเป็นที่นิยมของคอชารุ่นใหม่
  3. ชา "ปิ๊เหลยชุน" แห่งเมือง อู๋ ของมณฑลเจียงซู ในอดีต จักรพรรดิ์เฉียนหลงแห่งราชวงศ์ชิง ได้เสด็จประพาสต้นมายังมณฑลเจียงซู แล้วได้เสวยชาปิ๊เหลยชุนนี้แล้วทรงประทับใจในรสชาติ ได้ทรงยกย่องชานี้ว่าเป็นไข่มุกงามของเจียงซู
  4. ชา "เหมาเฟิง" เป็นชาที่ปลูกในแถบภูเขาหวงซาน มณฑลอานฮุย ชาชนิดนี้ในอดีตจัดเป็นเครื่องราชบรรณาการไปยังราชสำนักชิงเช่นกัน
  5. ชา "ลิ่วอันกวาเพียน" แห่งเทือกเขาต้าเปียซาน ในมณฑลอานฮุย ชานี้ ในสมัยสงครามกลางเมืองระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์จีนกับพรรคกว๋อหมินต่าง ประธานเหมาเจ๋อตุง ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ ได้ไปตั้งศูนย์การนำพรรคที่ภูเขาต้าเปียซาน ได้เคยดื่มชาลิ่วอันกวาเพียนนี้แล้รู้สึกประทับใจในรสชาติของชานี้ ภายหลังเมื่อได้เป็นผู้นำประเทศแล้วยังดื่มชาลิ่วอันกวาเพียน ในทำเนียบจงหนานไห่อยู่เป็นประจำ "ฮ่าวซึด"
  6. ชา "หวู่หยีหยานฉา" หรือ "วูหลงฉา" แห่งภูเขาอู๋อี๋ซาน ของมณฑลฝูเจี้ยน (ฮกเกี้ยน) ชาวูหลงหรือมังกรดำ นับว่าเป็นชาที่รู้จักกันมากที่สุดในบรรดาชาวจีนโพ้นทะเลรวมทั้งในประเทศไทยของเรา ชาวูหลงเป็นชากึ่งหมัก มีสีเหลืองอำพัน รสชาติชุ่มคอ หอมติดอกติดใจ ชาวูหลงนี้มี เบอร์ 12 เบอร์ 17 และวูหลงก้านอ่อน ซึ่งให้ความหอมและรสชาติที่แตกต่างกันไป
  7. ชา "เถียะกวนยิน" หรือ "เที๊ยะกวนอิม" แห่งมณฑลฝูเจี้ยน ชาเถียะกวนยินนี้เป็นชาที่มีราคาแพงมากวูหลงฉา และ เถียะกวนยินฉา ได้รับการยกย่องว่าเป็น 2 ไข่มุกงามแห่งมณฑลฮกเกี้ยน (ฝูเจี้ยน)
  8. "หมอลี่ฮวาฉา" หรือ ชาดอกมะลิ ของมณฑลฝูเจี้ยน ซึ่งได้นำดอกมะลิอบแห้งผสมกับชาเขียวหรือชาวูหลง นับว่าอยู่ในชั้นเลิศของบรรดาชากลิ่นดอกไม้ ซึ่งชาดอกมะลิเป็นที่นิยมชมชอบของชาวจีนในภาคเหนือเป็นอย่างมาก
  9. ชา "ไป๋เห่าเหยินเจิน" เป็นชาที่ปลูกทางภาคเหนือของมณฑลฝูเจี้ยน ในอดีตต้องจัดเป็นเครื่องราชบรรนาการสู่ราชสำนักมิได้ขาด
  10. ชา "ผู่เอ๋อร์" เป็นชาที่ปลูกทางภาคใต้ของมณฑลหยุนหนาน ที่อำเภอผู่เอ๋อร์ โดยชนชาติหยี ซึ่งเป็นชนชาติส่วนน้อยของมณฑลหยุนหนาน ชาผู่เอ๋อร์ นับว่าเป็นชาที่ดังและมาแรงมากในปัจจุบัน เปรียบกันว่ามีราคาเท่ากับทองคำเลยทีเดียว ชาผู่เอ๋อร์เป็นชาหมัก น้ำชามีสีดำ ชาชนิดนี้ผู้ใดได้ดื่มเป็นครั้งแรกจะรู้สึกว่ามีกลิ่นแรงและรสชาติเข้มข้นมาก แต่เมื่อดื่มเป็นครั้งต่อ ๆ ไปจะรู้สึกติดใจจนลืมไม่ลง ชาผู่เอ๋อร์มีกรรมวิธีการผลิดโดยการหมักไว้ในเข่งตะกร้าสานด้วยไม้ไผ่และรองด้วยใบตอง หมักแล้วอัดเป็นก้อนตั้งแต่ขนาดเท่าหัวแม่มือ ไปจนถึงขนาดเท่าโต๊ะกลม ๆ แล้วเก็บไว้ตั้งแต่ 1 ปี 5 ปี 10 ปี ไปจนถึง 20 ปี แล้วนำออกขาย
ชาจีน นับว่ามีความผูกพันธ์กับชาวจีนมานานจนแยกจากกันไม่ออก ชาวจีนได้ดื่มน้ำชาเป็นกิจวัตรประจำวัน ซึ่งในบรรดาชาวจีนที่มีรสนิยมในการดื่มชาอย่างละเมียดละไมที่สุดเป็นที่รู้กันในหมู่คนจีนทั่วไป คือจีนแต้จิ๋ว




ดูเพิ่มเติมได้ที่นี่

เขียนโดย "ยับสินฝ่า" (กฤตย์ เยี่ยมเมธากร) จาก www.hakkapeople.com ขอขอบพระคุณครับ-ยับสินฝ่า(กฤตย์ เยี่ยมเมธากร)

คันฉ่อง(กระจกส่องหน้า) ของจีนโบราณงานศิลปะที่น่าสะสมมานานปีแล้ว



คันฉ่อง(กระจกส่องหน้า) ของจีนโบราณงานศิลปะที่น่าสะสมมานานปีแล้ว

นักสะสม "จตุคามรามเทพ" ย่อมรู้จักชื่อคุณ สรรเพชร ผู้เป็นหลักในการจัดสร้าง และในหนังสือของท่านก็กล่าวถึง คันฉ่องจีนโปราณไว้ด้วย การสะสมรุ่นแรก ๆ  ของนักสะสมจะเริ่มจากวงเงินเพียงเล็กน้อยอยากรู้อนุภาพและปฏิหารย์ และต้องเป็นคนใจถึง จนมีความพร้อมก็ต้องกล้าสู้ราคาอย่างสุดๆ จึงทำให้ได้ของดีในระดับตำนานให้ครบทุกอย่าง เคยมี "สารคดีเกี่ยวกับสมบัติของฮ่องเต้ในเมืองจีน ทำให้รู้ว่า ฮ่องเต้สมัยก่อนให้ความสำคัญเรื่องของ 'คันฉ่อง' มากเป็นพิเศษ ถึงกับต้องนำติดตัวอยู่เสมอ และเมื่อสวรรคตไปแล้ว ก็ยังมีคันฉ่องวางอยู่ที่ข้างศพ โดยเฉพาะที่ไหล่ทั้ง ๒ ข้าง เป็นคันฉ่องชิ้นพิเศษ และมีชิ้นอื่นๆ อีกมากมาย วางประปรายในหีบศพ รวมทั้งบริเวณสุสานอีกด้วยคนจีนที่มีอายุมากๆ รวมทั้งจากตำราหนังสือจีนที่ลงเรื่องคันฉ่องมาอ่าน ค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต ก็ได้รับความรู้มากขึ้นไปอีก"
เนื่องจากคันฉ่องจีน เป็นสมบัติของฮ่องเต้ และขุดพบในหลุมฝังศพ การที่จะนำมาเก็บสะสมไว้ในบ้าน จึงต้องทำพิธีขอขมา และทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้าของเดิมเสียก่อน เหมือนกับที่คนไทยสมัยหนึ่ง นิยมสะสมลูกปัดทวารวดี ที่ต้องทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เจ้าของเดิมก่อน เพราะลูกปัดก็เป็นของที่ขุดหาได้จากหลุมศพของคนโบราณเช่นกัน

พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ให้ความหมายของ "คันฉ่อง" ไว้ว่า...เครื่องใช้ทำด้วยโลหะ ขัดจนเป็นเงา มีด้ามถือ ใช้สำหรับส่องหน้า ; ปัจจุบันเรียกกระจกเงามีกรอบ ๒ ชั้น สําหรับเอนเข้าออกได้ ตั้งบนโต๊ะเครื่องแป้ง สรุปง่ายๆ "คันฉ่อง" คือ กระจกเงา นั่นเอง แต่ในความหมายของชาวจีนสมัยโบราณ คันฉ่อง มีความหมายลึกซึ้งไปกว่านั้นมาก เพราะเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ เป็นทั้งโบราณวัตถุ และเครื่องรางของขลัง รวมทั้งเป็นสารตราตั้งของฮ่องเต้ ที่จะทรงมอบหมายพระราชอำนาจให้กับใครก็ตาม ที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัย ให้ไปทำราชการแทนองค์ฮ่องเต้ ในทุกแห่งหน ทั่วพระราชอาณาจักร
คันฉ่องจีนโบราณ เริ่มมีการสร้างมาตั้งแต่ก่อนคริสต์ศักราช (บางแห่งบอกว่าสร้างเมื่อ ๔,๐๐๐ ปีก่อน) โดยการนำโลหะชั้นเยี่ยมประเภททองสัมฤทธิ์ และปรอท เป็นส่วนผสมในการหล่อสร้าง มีลวดลายต่างๆ ดูแปลกตา แต่แฝงเอาไว้ด้วยศาสตร์ และศิลป์อันมีความหมายอย่างลึกซึ้ง และเข้าใจว่า อาจจะมีการบรรจุพุทธาคมลงไปด้วย เพื่อใช้ในการปกป้องภยันตรายต่างๆ ปกป้องคุ้มครองมิให้สิ่งเร้นลับ คุณไสย หรือภูตผีปีศาจมารังควานได้



ประโยชน์อีกอย่างหนึ่งของคันฉ่อง คือ ด้านที่มีเงาแวววาวนั้น ใช้ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือในยามฉุกเฉินได้ เช่น คนหลงป่า หรือเรือที่ประสบอุบัติเหตุกลางทะเล สามารถใช้ส่องให้สะท้อนแสงพระอาทิตย์ เพื่อบอกให้คนอื่นได้รับรู้ และให้ความช่วยเหลือได้ทันท่วงที แทบไม่น่าเชื่อว่า คนจีนในยุค ๒,๐๐๐-๓,๐๐๐ ปีก่อนหน้านี้ จะสามารถสร้างสรรค์คันฉ่องได้อย่างเยี่ยมยอดขนาดนี้ เคียงคู่กับศิลปะวัฒนธรรมและประเพณี อันเก่าแก่ของจีนตลอดมาในทางปฏิบัติ หากฮ่องเต้พระองค์ใดสิ้นพระราชอำนาจ สิ้นราชวงศ์ เมื่อมีการสถาปนาฮ่องเต้ราชวงศ์ขึ้นมาใหม่ จะมีการสร้างคันฉ่องประจำราชวงศ์ขึ้นมาแทนทุกครั้ง รูปแบบและลวดลายต่างๆ จะเปลี่ยนแปลงไปด้วย ตามแต่ฮ่องเต้แต่ละยุคแต่ละสมัย จะกำหนดขึ้น แต่จะไม่เลียนแบบของฮ่องเต้องค์ก่อนๆ อย่างเด็ดขาด คันฉ่องจีนโบราณ เท่าที่มีการขุดพบในยุคแรก เป็นของสมัยราชวงศ์จิ้น (พ.ศ.๓๒๒-๓๓๖) คือ เมื่อประมาณ ๒,๒๐๐ ปีมาแล้ว จากนั้นได้มีการสืบสานสร้างกันต่อมา จนถึงสมัยราชวงศ์ฮั่น ราชวงศ์ชิน สมัยสามก๊ก สมัยหกราชวงศ์ (พ.ศ.๙๖๓-๑๑๓๒) สมัยราชวงศ์สุย ราชวงศ์ถัง สมัยห้าราชวงศ์ สมัยราชวงศ์ซ้อง ราชวงศ์หงวน (มองโกล) ราชวงศ์เหม็ง (หรือหมิง) และราชวงศ์ชิง หรือเชง แมนจู (พ.ศ.๒๑๘๗-๒๔๕๕)
ในยุคแรกๆ คันฉ่องที่สร้างขึ้นมา ไม่มีรูปแบบแกะสลักลวดลายอะไรมากนัก มีเพียงเป็นเส้นๆ เป็นจุดๆ หรือวงกลมๆ เท่านั้น โดยใช้เป็นสัญลักษณ์แทนภูเขา หรือใช้แทนพลังจักรวาล ดวงดาว พระอาทิตย์ พระจันทร์ ฯลฯ ต่อมาเมื่อฝีมือช่างได้พัฒนาขึ้น คันฉ่องที่สร้างเริ่มปรากฏเป็นรูปภาพต่างๆ อย่างชัดเจน สามารถสื่อความหมายได้ดีขึ้น เช่น รูปเทพเจ้าต่างๆ รูป ๑๒ นักษัตร รูปสัตว์ต่างๆ เช่น มังกร หงส์ ม้า ปลา กวาง เต่า ฯลฯ รวมทั้งตัวอักษรจีนที่เป็นคำสิริมงคล และเส้นสายลวดลายต่างๆ ตามแบบศิลปะจีน ก็เริ่มปรากฏรายละเอียดมากขึ้นตามลำดับ จนมีความงดงามวิจิตรพิสดาร และอลังการเป็นอย่างยิ่ง
ภาพต่างๆ เหล่านี้ จะปรากฏอยู่ด้านหนึ่งของคันฉ่อง ตรงจุดกึ่งกลางมักจะเป็นรูปเต่า อันมีความหมายถึงอายุยืนยาว ตรงรูปเต่านี้จะมีรูเจาะทะลุกัน เพื่อไว้ร้อยเชือก ให้จับถือคันฉ่องได้สะดวกขึ้น ส่วนอีกด้านหนึ่งของคันฉ่องราบเรียบ เมื่อขัดให้เป็นเงาแวววาว สามารถส่องดูใบหน้า แทนกระจกเงา ได้เป็นอย่างดี
การจัดสร้างคันฉ่องของชาวจีนโบราณ จะสร้างได้เฉพาะฮ่องเต้เท่านั้น สามัญชนคนทั่วไป ไม่สามารถสร้างมาใช้ได้ แม้ว่าจะมีทรัพย์สินเงินทองมากมายสักแค่ไหนก็ตาม ส่วนฮ่องเต้แต่ละพระองค์ จะสร้างคันฉ่องขึ้นมาใช้เท่าไรก็ได้ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้คันฉ่องแต่ละราชวงศ์มีมากมาย มากทั้งจำนวน และมากด้วยขนาดต่างๆ เท่าที่พบมี ๗ ขนาด คือ ขนาดใหญ่สุด เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๔๙ ซม. แต่พบเห็นน้อยมาก ถัดลงมาเป็นขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๓๐ ซม. ๑๘ ซม. ๑๒ ซม. ๘ ซม. ๖ ซม. และเล็กสุดประมาณ ๓.๕ ซม.




โดยสีสันวรรณะของโลหะที่สร้างเป็นคันฉ่อง จะมีทั้งสีเหลืองดอกบวบ สีเงินมันวาว ในสมัยราชวงศ์ถัง (สมัยเจ้าแม่กวนอิม) คันฉ่องที่สร้างนิยมเป็นรูปบัว ๘ กลีบ สื่อความหมายถึงพระพุทธศาสนา ที่กำลังเผยแพร่ในประเทศจีน แทนที่จะเป็นรูปวงกลม เหมือนอย่างที่เคยสร้างกันมาก่อนหน้านี้
คันฉ่องจีนโบราณ ถือเป็นของสูงของศักดิ์สิทธิ์ คู่กับแผ่นดินจีนมาโดยตลอด คันฉ่องทุกชิ้นที่สร้างขึ้นมา
ฮ่องเต้จะนำมาส่องดูพระพักตร์ก่อนที่จะมอบให้ทูตานุทูต เพื่อนำติดตัวเดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรีกับต่างชาติ คือเป็นตัวแทนองค์ฮ่องเต้ ผู้ใดพบเห็นจะต้องก้มลงกราบคารวะ แสดงความเคารพทันที
วัฒนธรรมการสร้างคันฉ่อง ที่เป็นเสมือนตัวแทนองค์ฮ่องเต้ของชาวจีนโบราณ เป็นเรื่องที่สอดคล้องกับความหมาย ๔ ประการ ในชีวิตของมนุษย์โดยทั่วไป คือ ความยิ่งใหญ่ ความสุข ความมั่งคั่ง และ ความมีชีวิตอันยืนยาว อันเป็นสิ่งที่ทุกคนมุ่งมั่นปรารถนาเป็นอย่างยิ่ง

"ปัจจุบันคันฉ่องเป็นของหายาก เพราะเป็นของสูง เป็นของกษัตรย์สร้าง นักสะสมของเก่าเมื่อมีข้อมูลมาก ทำให้รู้คุณค่ากันมากขึ้นด้วย และแผ่ขยายในวงกว้างออกไป คันฉ่องจึงมีราคาสูงขึ้นด้วย บางชิ้นที่คงสภาพสมบูรณ์มากๆ ราคาซื้อขายเป็นเรือนหมื่นเรือนแสนกันเลยทีเดียว ขณะเดียวกันก็มีของปลอมระบาดมานานแล้ว คนที่ไม่มีความรู้ในการพิจารณา จึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ และจากการเปิดดูในอินเทอร์เน็ต ทำให้รูว่า พิพิธภัณฑ์ต่างประเทศ หลายประเทศมีคันฉ่องของจีนโบราณ จัดแสดงโชว์อยู่ด้วยเสมอ เช่น ญี่ปุ่น ไต้หวัน สวิตเซอร์แลนด์ อังกฤษ เยอรมนี ฝรั่งเศส หลายประเทศในยุโรป รวมทั้งสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะที่ ญี่ปุ่น และไต้หวัน มีมากเป็นพิเศษ...นับเป็นเรื่องแปลก ที่ชาวต่างชาติมีข้อมูลความรู้อย่างละเอียด และความลี้ลับของคันฉ่องได้เป็นอย่างดี















วันจันทร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2556

เทคนิคการดูหยกว่าแท้หรือไม่?

เทคนิคการดูหยกว่าแท้หรือไม่?
เมื่อหยกได้รับความนิยมมากขึ้นและราคาแพงมากทุกวัน เมื่อความต้องการมากกว่าของที่มีจึงเกิดการทำ หยกปลอมขึ้นมาหลอกขาย และมีขบวนการทางวิยาศาสตร์เข้าช่วย จากการที่ได้ศึกษาและหาข้อูลจากแหล่งต่างๆ เลยเก็บความรู้เรื่องเทคนิคการดูหยกว่าแท้หรือเทียมมาเล่าสู่กันฟัง
หยกเป็นหินชนิดหนึ่งมีหลายสีที่นิยมคือ สีเขียว มีคุณสมบัติที่ดีในหลายๆด้าน คนจีนจะนิยมนำมาทำเป็นเครื่องประดับ ภาชนะต่างๆ เครื่องรางเพื่อป้องกันตัวและแกะสลักเป็นรูปวัตถุมงคลต่างๆ เช่น ปีเซียะ กิเลน สิงโต พระพุทธรูป เจ้าแม่กวนอิม กำไล แหวน สร้อยคอ ฯลฯ

หยกได้ชื่อว่าเป็นอัญมณีจากสวรรค์ เชื่อว่าหยกมีพลังเร้นลับสามารถผลักดันความเป็นศิริมงคลมาให้แก่ผู้บูชา ซึ่งสืบทอดความเชื่อนี้มาแต่โบราณ ตั้งแต่ประวัติศาสตร์ประมาณ 7000 ปีมาแล้ว ผู้ใช้จะรู้สึกได้ของพลังงานของหยก
    
ในสมัยพระนางซูสีไทเฮา ก็ได้ทำชุดหยกขึ้นไว้เตรียมใส่ในวันสวรรคต  เพราะเชื่อว่าหยกนั้นจะได้รักษาร่างกายไม่ให้เน่าเปื่อยเนื่องจากหยกจะดูดซับความเย็นเอาไว้ ชุดหยกที่พระนางซูสีไทเฮาใส่นั้น มีทั้งหมวกคลุมศีรษะ ชุดทั้งตัว มีถุงมือ รองเท้าด้วย ซึ่งตอนนี้ชุดหยกได้แสดงไว้ที่กรุงปักกิ่งในร้านหยก        

ชนิดของหยก

         แบ่งหยกเป็น 2 ชนิด คือ เจไดต์ และ เนไฟรด์ ซึ่งหยกมีความแข็งแกร่ง เนื้อละเอียดสวยงาม เหมาะสำหรับแกะสลักเป็นรูปต่างๆ เช่น เนไฟรด์ในโบราณนิยมนำมาแกะเป็นอาวุธและแกะเป็นรูปมังกร ถือว่าเป็นเครื่องนำโชค ได้มีการพบหยกเจไดต์จากแคว้นคะฉิ่นในพม่าตอนเหนือติดกับจีน หยกเจไดต์มีหลายสีคือ เขียว ม่วงลาเวนเดอร์  ชมพู ฟ้า สีส้มอมเหลือง ขาว แดง น้ำตาล ดำ  ที่นิยมนำมาทำเป็นเครื่องประดับ คือหยกเจไดต์สีเขียวมรกตที่เราเรียกว่า หยกจักพรรดิ์ ที่งดงามที่สุดเม็ดเดียวมีราคาหลายร้อยล้านบาท

หยกมีหลายชนิดแบ่งเป็น 3 เกรดที่พบทั่วไป
 
  1. หยก A   หรือหยกธรรมชาติหรือหยกที่เจียระไนเป็นรูปต่างๆเสร็จแล้วขัดด้วยเที่ยนไข ไม่มีการตกแต่งวัสดุหรือสีเข้าไปในเนื้อหยก หยกสีธรรมชาติที่สวยและคุณภาพสูงหาได้ยากมาก ถึงมากที่สุด ราคาก็สุดยอดตามไปด้วย 
  2. หยก B หรือหยกเคลือบด้วยพลาสติก หรือเรียกว่าหยกที่อาบน้ำ โดยนำหินหยกไปแช่น้ำกรดไฮโดรคลอลิค เพื่อกัดเอาสนิมโลหะและสิ่งสกปรกในเนื้อหยกออกจนหมด แล้วนำไปชุบสารละลายพลาสติกแข็ง สารละลายพลาสติกจะซึมเข้าไปในเนื้อหยกและเคลือบผิว ทำให้หยกคืนสภาพ ดูสดใสเหมือนหยกที่มีคุณภาพสูงเนื้อแก้วซึ่งคนทั่วไปแยกไม่ได้ เพราะเหมือนหยกธรรมชาติมาก ทุกวันนี้หยกที่ขายทั่วไป 90% เป็นหยก B หยก A มีราคา หนึ่งแสนบาท หยก B จะอยู่ที่ 100-1000 บาท เท่านั้นแต่พลังงานต่างๆ ก็ลดลงไปด้วย ใส่โชว์อย่างเดียว 
  3. หยก C  คือหยก B ที่ใส่สีหรือย้อมสีเข้าไป เช่น สีเขี่ยว ม่วงแดง เป็นต้น
 
คุณสมบัติพิเศษของหยก
 
เป็นความเชื่อว่าหยกมีอำนาจวิเศษคอยปกป้องผู้สวมใส่จากอันตราย เหตุนี้ฮ่องเต้จีน จึงทรงโปรดหยกเป็นพิเศษ หยกยังคงเป็นที่นิยมและมักสวมใส่ตลอดชีวิตของคนๆหนึ่ง (เรามักจะเห็นคนจีนสูงอายุใส่กำไลหยกแล้วไม่ถอดเลย ถ้าหยกสีขุ่นแสดงว่าสุขภาพไม่ดี ถ้าแตกหรือร้าวจะบอกเหตุร้ายที่จะเกิด
 
คุณภาพที่ดีต้องเนื้อมีความโปร่งใส และมีความเย็น ไม่ใช่เย็นแบบน้ำแข็งนะครับ แต่เย็นแบบรู้สึกได้ ในอุณหภูมิทั่วไปที่ค่อนข้างเย็นแบบเมื่องหนาว อากาศบ้านเราไม่ค่อยเหมาะทดสอบหยกหลอกเพราะมันร้อน แต่ในห้องแอร์จะทดสอบได้นะจ๊ะ 

คนมักคิดว่าหยกต้องสีเขียว แต่จริงๆ แล้วหยกมีหลายสี เช่น สีม่วง แดง ดำ ขาว ซึ่งมีคุณสมบัติแตกต่างกันไปอย่างน่าทึ่ง

              
 
วิธีทดสอบหยก ที่สมัยนี้ใช้ไม่ค่อยได้ผมแล้ว มักจะต้องอาศัยการดู การเห็น การสัมผัส มากๆๆๆ เหมือนการดูพระเครื่อง เห็นก็จำได้หมายรู้ แต่ก็รู้ใว้ใช่ว่า พอจะมีประโยชน์ได้บ้าง
 
  1. ใช้วิธีง่ายๆ คือนำหยกมาเคาะกันดู จะเห็นว่าถ้าเป็นหยกแท้นั้น เสียงจะกังวานใส ของปลอมเสี่ยงจะไม่ใส แต่แก้วเนื้อดีก็ใสเหมือนกัน 
  2. จับหยกขึ้นมาไว้ในมือสักครู่ ดูว่าเย็นหรือไม่ ธรรมชาติของหยกจะมีความเย็นในตัว ขวดน้ำ แก้วใส่เนื้อดี เหล็กโลหะก็เย็น ก็ต้องได้ผ่านตาสัมผัสของจริงมาแล้วถึงจะแยกได้ครับ
  3. นำขึ้นส่องไฟดู ถ้าหยกแท้จะใสมองทะลุได้ ถ้าของปลอมจะขุ่นมองเห็นเป็นสีทึบ หยกสีทึมก็มีแต่เนื้อเป็นน้ำมัน ใสปิ้งก็แก้วเนื้อดีนี่ใง
  4. ลองนำหยกไปขูดกระจกดู  เพราะหยกมีความแข็งสามารถใช้ขูดบนกระจกให้เป็นรอยได้ หินกากเพชร ที่ตัดกระจกก็ทำกระจกเป็นรอยได้ เพราะกระจกเดียวนี้มีหลายเกรด เขาเอากระจกเกรดต่ำๆๆๆ มาขุดให้ดูเราจะเชื่อได้อย่างไร และควรให้เจ้าของทำให้ดู เพราะหากเราทำเองก็จะได้ของปลอมราคาแพง เพราะทำของเขาเป็นรอย            
 
ดังนั้นก่อนซื้อหยกครั้งต่อไปหรือนำหยกที่มีอยู่มาลองทดสอบด้วยวิธีง่ายๆ ดูนะคะ และควรไปเข้าร่วมงานจัดแสดงโชว์ อย่าเชื่อคนขาย เพื่อน และใครก็ตามหากเราไม่มีความรู้เลยได้ของปลอมชัวร์ แม้เครื่องมือ เอกสารใบ Cer ก็มีราคาทั้งนั้น
 
 


 

สนใจสินค้าราคาถูกๆๆๆๆ


 

การปรับปรุงคุณภาพหยก

การปรับปรุงคุณภาพหยกเพื่อให้ได้สีสรรสวยงามและเนื้อดูดีขึ้นกว่าเดิมตามธรรมชาย
  1. หยกที่ไม่ได้ผ่านการปรับปรุงคุณภาพใดๆ เรียกว่า A jade หรือ untreated jadeite
  2. หยกเจไดต์ที่สีไม่สวยและค่อนข้างโปร่งแสง อาจถูกนำมากัด (bleach) เพื่อเอาหินแร่สีน้ำตาลหรือดำออก แต่จะทำให้โครงสร้างของหยกกร่อนลง จึงต้องอัดด้วยเรซิน (resin) หรือแวกซ์ (wax) ลงไป เรียกหยกที่ผ่านกระบวนการเหล่านี้ว่า B jade (จากคำว่า 'bleached')
  3. หยกเจไดต์ที่มีสีซีดอาจนำมาย้อมให้สีเข้มขึ้น เรียกหยกที่ผ่านกระบวนการนี้ว่า C jade ซึ่งสีที่ย้อมเหล่านี้สามารถซีดลงได้
  4. หยกเจไดต์ที่ผ่านทั้งกระบวนการอัดด้วยเรซินและการย้อมสี เรียกว่า B+C jade
 
 
สนใจสินค้าราคาถูกๆๆๆๆ


หยก (Jade)



หยก (Jade) คือชื่อที่ใช้เรียกหินซึ่งเป็นอัญมณี ที่มีค่ามากชนิดหนึ่ง ชนชาวจีนถือว่าหยกเป็นเจ้าแห่งหินมีค่าทั้งมวล
 
ในอดีตเข้าใจกันว่าหยกมีเพียงชนิดเดียว ต่อมาเมื่อมนุษย์มีความรู้ทางด้านเคมีมากขึ้น จึงสามารถแยกหยกได้เป็น 2 ชนิด คือ
  1.  เจไดต์ (Jadeite) มีองค์ประกอบทางเคมีเป็นโซเดียมอะลูมิเนียมซิลิเกต (NaAl(SiO3)2, Sodium aluminium silicate) มักมีสีเขียวเข้มสดกว่าเนฟไฟรต์ จัดเป็นหยกชนิดคุณภาพดี อยู่ในระบบผลึกแบบหนึ่งแกนเอียง โดยธรรมชาติมักพบเป็นก้อนเนื้อแน่นประกอบด้วยผลึกขนาดเล็กๆ อยู่รวมกัน มีความวาวตั้งแต่แบบแก้วจนถึงแบบน้ำมัน หยกเจไดต์มีความแข็ง 6.5-7 มีสีในเนื้อพลอยเฉพาะตัว และมักไม่สม่ำเสมอ มีสีเข้มและจางของแต่ละผลึกรวมกันอยู่ โดยเฉพาะในก้อนจะมีลักษณะเป็นหย่อมสี พบว่าเกิดอยู่ในหินเซอร์เพนทีน ที่ได้จากการแปรสภาพของหินอัคนีชนิดที่มีแร่ดอลีวีนอยู่มาก หรือมีโซเดียมอยู่มาก
  2.  เนฟไฟรต์ (Nephrite) มีองค์ประกอบทางเคมีเป็นแคลเซียมแมกนีเซียมซิลิเกต (Calcium magnesium silicate) อยู่ในระบบผลึกหนึ่งแก่นเอียง โดยธรรมชาติมักพบเกิดเป็นผลึกกลุ่มที่มีขนาดเล้กรุปเส้นใยเดียวกัน หยกเนฟไฟรต์มีความแข็ง 6-6.5 มีความวาวแบบแก้วถึงน้ำมัน สีมีความเฉพาะตัวเหมือนหยกเจไดส์ แต่มีสีเข้มไม่เท่า และมีสีมืดมากกว่า พบว่าเกิดจากหินเดิมที่มีธาตุแมกนีเซียมแปรสภาพด้วยความร้อน






 
สนใจสินค้าราคาถูกๆๆๆๆ